tag:blogger.com,1999:blog-43128120355502140512024-03-22T12:15:34.972+07:00mediathailand : นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาความหมาย คุณค่า ความสำคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา พัฒนาการทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา หลักการ ทฤษฎี แนวคิดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา ระบบและวิธีการเรียนการสอน(ร่วม)ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมการศึกษาmediathailandhttp://www.blogger.com/profile/10190084973521291266noreply@blogger.comBlogger119125tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-42934785556501863442012-07-08T13:17:00.000+07:002017-01-14T16:50:03.627+07:0012.7 ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ในสถานศึกษา<span style="font-family: inherit;">สถานศึกษาส่วนใหญ่ในปัจจุบันแม้ว่าจะเริ่มให้ความสนใจต่อปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์กันอย่างจริงจัง แต่จากสภาพความเป็นจริง พบว่า ครู บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงนักเรียน นักศึกษา ยังขาดความเข้าใจในสิทธิของการไฟล์ข้อมูลมัลติมีเดียต่างๆ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมหรือตัวซอฟท์แวร์ที่มีอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ของหน่วยงานสถานศึกษาที่มีอยู่ว่าถูกต้องลิขสิทธิ์หรือไม่ </span><br />
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br /></div>
<strong><span style="font-family: inherit; font-size: large;"> ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ในสถานศึกษา</span></strong><br />
<span style="font-family: inherit;">ตามกฎหมาย การรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิ์ในโปรแกรม หรือซอฟท์แวร์ดังกล่าวจะตกเป็นของผู้ครอบครองการใช้งานในเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ รวมถึงผู้บริหารสถานศึกษาแห่งนั้นด้วย</span><br />
<span style="font-family: inherit;">ลิขสิทธิ์ในที่นี้ มีอยู่ 3 ลักษณะ อันได้แก่</span><br />
<ol><span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="font-family: inherit;">
</span>
</span>
</span>
<li><span style="font-family: inherit;">ลิขสิทธิ์ในตัวโปรแกรมหรือ ซอฟท์แวร์ที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สถานศึกษา</span></li>
<span style="font-family: inherit;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
<span style="font-family: inherit;">
</span>
</span>
</span>
<li><span style="font-family: inherit;">ลิขสิทธิ์ของผลงานทางวิชาการของสถานศึกษา</span></li>
<span style="font-family: inherit;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
<span style="font-family: inherit;">
</span>
</span>
</span>
<li><span style="font-family: inherit;">ลิขสิทธิ์ผลงานสื่อรูปแบบต่างๆที่นำเข้ามาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของสถานศึกษา</span><div>
<span style="font-family: inherit;">อาทิ ไฟล์เพลง ไฟล์วิดีทัศน์ หรือมัลติมีเดียในรูปแบบต่างๆที่จุดประสงค์หลักผู้สร้าง ทำไว้เพื่อเชิงพาณิชย์</span></div>
<span style="font-family: inherit;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
<span style="font-family: inherit;">
</span></span></span></li>
<span style="font-family: inherit;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
<span style="font-family: inherit;">
</span></span></span></ol>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEilx0IoMBtyDUG5TLYAq53vYlQYgY2RPx-c4K4GDKK_9nxyScJZunURkWfizFv3lpqgkY7iUg06olk1DrbbpGipMAD8evutefoe3q1xm0aiPtQOmiZANcixCqBFEClsedk3YiuP1lr52PA/s1600/microsoft-piracy-250px.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: inherit;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEilx0IoMBtyDUG5TLYAq53vYlQYgY2RPx-c4K4GDKK_9nxyScJZunURkWfizFv3lpqgkY7iUg06olk1DrbbpGipMAD8evutefoe3q1xm0aiPtQOmiZANcixCqBFEClsedk3YiuP1lr52PA/s1600/microsoft-piracy-250px.jpg" /></span></a></div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<span style="font-family: inherit;">ปัจจุบันพบว่าสถานศึกษามีศักยภาพในการจัดการศึกษา มีห้องคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ มีโปรแกรมสำหรับใช้ ดำเนินกิจกรรมทางการศึกษาที่หลากหลาย แต่สถานศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงสิทธิที่มีในโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์เหล่านั้น ซึ่งพบว่า โปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ที่มีอยู่นั้นเป็นโปรแกรมซอฟท์แวร์ผิดกฎหมาย ละเมิดลิขสิทธ์แทบทั้งสิ้น นอกจากนี้การพัฒนาโครงข่ายของยสถานศึกษา เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน แต่ในเวลาเดียวกันก็พบว่า ช่องทางสำหรับการรับส่งสัญญาณ (Bandwidth) ของสถานศึกษานั้นอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยอาจเป็นแหล่งที่เก็บข้อมูล สื่อละเมิดสิทธิ์ และละเมิดลิขสิทธิ์ต่างๆ (อาทิ ผลงานทางวิชาการต่างๆ ไฟล์เพลง ไฟล์วิดีทัศน์ รูปภาพ ที่มีจุดประสงค์ในเชิงพานิชย์ โปรแกรมหรือ ซอฟท์แวร์ต่างๆ) และอาจเป็นเครือข่ายออนไลน์ที่เป็นต้นทางในการป้อนหรือคัดลอกข้อมูลให้แก่ผู้ดาวน์โหลดทั่วโลก การใช้ไฟล์ร่วมกันอย่างผิดกฎหมาย (illegal file-sharing) อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ อันเนื่องมาจากการได้รับไวรัสคอมพิวเตอร์ การจารกรรมข้อมูล และการคุกคามความปลอดภัยทางข้อมูลของสถานศึกษาด้วย</span><br />
<span style="font-family: inherit;">การละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว ทั้งครูผู้สอน ผู้เรียน ของหน่วยงานสถานศึกษาต้องถูกไต่สวนทางกฎหมาย ซึ่งถือได้ว่าการกระทำความผิด รวมถึงหน่วยงาน สถานศึกษาอาจต้องร่วมรับผิดชอบจากผลของการกระทำดังกล่าวด้วยเช่นกัน</span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhx0hqu0hvgYAx6isRckDLzpYpfePIGMJE0aoD1AKkmxC1GNXZ-CJaoYpAg1Tub_WaAc_vg2EDjihAc-bvW-e3ccMaXBbw0dYcsrYzBkQZP9-EStFkGmeqOyxuXc5HRUOMZ8AODpiGs24M/s1600/music-copyright.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: inherit;"><img border="0" height="311" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhx0hqu0hvgYAx6isRckDLzpYpfePIGMJE0aoD1AKkmxC1GNXZ-CJaoYpAg1Tub_WaAc_vg2EDjihAc-bvW-e3ccMaXBbw0dYcsrYzBkQZP9-EStFkGmeqOyxuXc5HRUOMZ8AODpiGs24M/s320/music-copyright.jpg" width="320" /></span></a></div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<span style="font-family: inherit;">ตามหลักการแล้วสถาบันการศึกษามีหน้าที่ในการสร้างทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อเรื่องลิขสิทธิ์ ซึ่งก็มีขั้นตอนมาก มายที่สถาบันการศึกษาสามารถทำได้และควรกระทำเพื่อเป็นการป้องกัน หรือเฝ้าระวังพฤติกรรมการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเกียวโยงถึงปัญหาด้านความปลอดภัยต่อเครือข่าย รวมถึงการสื่อสารการทำความเข้าใจและให้ความรู้แก่นักศึกษา และบุคคลากรที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง การเฝ้าระวังเพื่อให้สภาวะออนไลน์มีความปลอดภัย และการใช้เครื่องมือป้องกัน ทางเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ </span><br />
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s1600/leader.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: inherit;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s320/leader.png" width="320" /></span></a></div>
<span style="font-family: inherit; font-size: large;"><strong> การวิเคราะห์ปัญหา</strong></span><br />
<span style="font-family: inherit;">ปัจจัยหลักที่พบในหน่วยงานสถานศึกษา ส่วนใหญ่ มาจากการใช้งานซอฟท์แวร์เถื่อน การเข้าถึงข้อมูลออนไลน์แล้วนำไปแสวงหาผลประโยชน์ ทั้งส่วนตนเอง และทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นผลงานทางวิชาการ สื่อมัลติมีเดีย จำพวกเพลง วิดีทัศน์ ที่มีผู้นำมาวางไว้บนเครือข่าย ปัญหาเหล่านี้มาจาก การขาดงบประมาณด้านการซื้อซอฟท์แวร์ ขาดการให้ความรู้ด้านสิทธิในซอฟท์แวร์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ หรือสิทธิของการใช้สื่อมัลติมีเดีย เพราะผู้ใช้ในหน่วยงาน สถานศึกษา ต่างไม่ได้รับรู้ว่า โปรแกรมการใช้งานที่มีอยู่ในเครื่องของหน่วยงานสถานศึกษานั้นถูกกฎหมายหรือไม่ บางรายไม่เข้าใจถึงสิทธิการครอบครองของซอฟท์แวร์ ที่สำคัญเป็นความเคยชินในการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องต่างเข้าใจว่า เมื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็จะได้โปรแกรมต่างๆ ติดมาด้วย ดังนั้น หน่วยงาน สถานศึกษา จำเป็นต้องมีการให้ความรู้ และให้เกิดการตระหนักของการใช้งานคอมพิวเตอร์ รวมถึงสิทธิต่างๆที่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องรับทราบ</span><br />
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="font-family: inherit;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHVgsnDRBa4ynIACfRsPbcu5J_C-t1LARotr-e_DgqcRWFXNUV8SfaCs9v4zeBedRRiN01Spy5SAr-4EdtdvOY6RZppqAsj_Eq0ldnbWXtzbP0LJ9zxMXiS1FQd9qko30gKgs6fOll9ko/s320/manage.jpg" width="320" /></span></div>
<strong><span style="font-family: inherit; font-size: large;">แนวทางการแก้ไขปัญหา</span></strong><br />
<span style="font-family: inherit;">หน่วยงานทางการศึกษา บุคลากรในองค์กร ต้องร่วมกันศึกษา วางแผน และดำเนินการ</span><br />
<ol><span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="font-family: inherit;">
</span>
</span>
</span>
<li><span style="font-family: inherit;">จัดแผนการพัฒนา การปรับปรุง การใช้โปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ลิขสิทธ์<br />โดยการสำรวจความต้องการในหน่วยงานถึงความจำเป็นในการใช้โปรแกรม ทำการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อปลดโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งานออกจากระบบ </span></li>
<span style="font-family: inherit;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
<span style="font-family: inherit;">
</span>
</span>
</span>
<li><span style="font-family: inherit;">จัดงบประมาณเพื่อจัดซื้อโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์นำมาติดตั้ง <br />ซึ่งงบประมาณดังกล่าวต้องใช้เป็นจำนวนมาก ไม่อาจเสร็จสิ้นในทันทีในปีหนึ่งได้ จึงต้องดำเนินการเป็นช่วงเวลาโดยอาจจะตั้งเป็นแผนระยะยาว 3-5 ปี </span></li>
<span style="font-family: inherit;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
<span style="font-family: inherit;">
</span>
</span>
</span>
<li><span style="font-family: inherit;">การให้ความรู้ การสื่อสารทำความเข้าใจ รวมถึงข้อกฎหมาย กำหนดนโยบายด้านลิขสิทธิ์ที่เหมาะสม<br />เร่งรัดการให้ความรู้แก่ครูผู้สอนและผู้เรียนให้เข้าใจว่าการใช้โปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ที่นำมาจากแหล่งอื่น ไม่ได้เป็นผู้ถือครองสิทธิ์ จึงไม่มีสิทธิ์ในการใช้ รวมถึงคัดลอกและการถ่ายโอนข้อมูล งาน หรือ ไฟล์เพลง ไฟล์วิดีโอ ไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ หรืองานที่สร้างสรรค์ของบุคคลอื่นๆโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ และผิดกฎหมาย</span></li>
<span style="font-family: inherit;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
<span style="font-family: inherit;">
</span>
</span>
</span>
<li><span style="font-family: inherit;">กำหนดแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายให้เป็นมาตรการของสถานศึกษา <br />มีคณะทำงานเพื่อทำการตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในคอมพิวเตอร์และลบเนื้อหาหรือข้อมูลที่ละเมิดลิขสิทธิ์ออก นอกจากกรณีที่สถาบันการศึกษา ต้องตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์ของสถานศึกษา เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ อาทิ การใช้โปรแกรมหรือซอฟแวร์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไฟล์เพลง ไฟล์วิดีโอ ไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ และงานสร้างสรรค์ประเภทอื่นๆ ที่มีลิขสิทธิ์ไว้ในรายการเพื่อที่ต้องทำการตรวจสอบอีกด้วย <br /><br />โดยปกติแล้ว เจ้าของลิขสิทธิ์ในงานสิ่งบันทึกเสียงที่มีการจำหน่ายในปัจจุบัน อาทิ เช่น เทป, ซีดี, ดีวีดี รวมถึง การอนุญาตให้ดาวน์โหลดผ่านระบบออนไลน์ ไม่เคยอนุญาตให้มีการคัดลอกสำเนาเพลง, ไม่เคยอนุญาตให้มีการจัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายออนไลน์ และไม่เคยอนุญาตให้มีการแจกจ่ายเพลงอันมี ลิขสิทธิ์เหล่านั้นทางอินเตอร์เน็ต ยกเว้นจะดำเนินการโดยผ่านผู้ให้บริการทางดนตรี หรือเสียงเพลงที่ได้รับการรับรองโดยถูกต้องตามกฎหมาย หรือภายใต้สัญญาข้อตกลงที่ชัดเจนจากเจ้าของลิขสิทธิ์ </span></li>
<span style="font-family: inherit;">
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
<span style="font-family: inherit;">
</span></span></span></ol>
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: inherit;">
</span><span style="font-family: inherit;">
</span></span></span><br />
<span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
</span><span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
</span></span><br />
<span style="font-family: inherit;">
</span><span style="font-family: inherit;">
</span><table border="1" cellpadding="3" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td bgcolor="#feebf4"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="font-family: inherit;">ดังนั้น..... <span class="style7"><strong><span style="color: #990000;">“การทำซ้ำเพื่อส่วนตัว” “การใช้งานเพื่อการศึกษา” “การใช้งานตามข้อยกเว้นของกฏหมาย” “การทำสำเนาเพื่อการทดลองใช้” หรือข้ออ้างอื่นใดดังกล่าว ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นการอนุญาตให้มีการจัดเก็บหรือส่งต่อเพลง หรือข้อมูลในสิ่งบันทึกเสียงที่จัดทำเพื่อจำหน่ายในทางการค้าผ่านระบบห้องสมุด หรือผ่านเครือข่ายของสถานศึกษาใดๆ</span></strong></span></span></span></span></td></tr>
</tbody></table>
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<span style="font-family: inherit;"> 5. ศึกษาแนวทางการนำเทคโนโลยีเพื่อควบคุมการใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกัน (FILE-SHARING) </span><br />
<span style="font-family: inherit;"> ปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีใหม่ๆที่ออกมาจำหน่ายเพื่อวัตถุประสงค์ ในการจัดการหรือป้องกันพฤติกรรมการใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันที่ผิดกฏหมายอย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะ การป้องกันการใช้โปรแกรมการแลกเปลี่ยนไฟล์โดยตรงโดยไม่ผ่านเซิร์ฟเวอร์กลาง (P2P) ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตการจำกัดการติดตั้งซอฟแวร์และกิจกรรมการใช้ไฟล์ร่วมกันที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่ถูกต้องบนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยนั้น เป็นแนวทางง่าย ๆ แนวทางหนึ่งในการลดปัญหาด้านลิขสิทธิ์และความปลอดภัย หยุดการละเมิดลิขสิทธิ์ในวงกว้างก่อนที่จะเกิดการละเมิดขึ้น</span><br />
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br /></div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br /></div>
<span style="font-family: inherit;">การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์คือการคัดลอกหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งสามารถกระทำได้ด้วยการคัดลอก ดาวน์โหลด แลกเปลี่ยน ขาย หรือติดตั้งหลายสำเนาไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวหรือที่ทำงาน สิ่งที่ผู้คนจำนวนมากไม่ได้ตระหนักหรือคาดคิดคือเมื่อคุณซื้อซอฟต์แวร์ จะหมายถึงคุณกำลังซื้อใบอนุญาตเพื่อใช้ซอฟต์แวร์ ไม่ใช่การซื้อซอฟต์แวร์จริง ใบอนุญาตจะบอกคุณให้ทราบถึงจำนวนครั้งที่คุณสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ได้ ดังนั้นจึงมีความสำคัญมากที่จะต้องอ่าน หากคุณคัดลอกซอฟต์แวร์มากกว่าที่ใบอนุญาตกำหนด นั่นหมายถึงคุณกำลังโจรกรรม </span><br />
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggW_M54HeWlytZXKzkzRkz9xR-dGaFH2rmkjCTyGI2oimDaePCn53RX5Ffb63OeWtZHMO0VlkfN5FTJzHBIhX4-6_gTRq5mpZm8vrYqeVXeDve5g5pJJocACgwQCA-7F9icCGizsDMMek/s1600/Google-Privacy-or-Google-Piracy.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: inherit;"><img border="0" height="239" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggW_M54HeWlytZXKzkzRkz9xR-dGaFH2rmkjCTyGI2oimDaePCn53RX5Ffb63OeWtZHMO0VlkfN5FTJzHBIhX4-6_gTRq5mpZm8vrYqeVXeDve5g5pJJocACgwQCA-7F9icCGizsDMMek/s320/Google-Privacy-or-Google-Piracy.png" width="320" /></span></a></div>
</div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br />
<div>
<span style="font-family: inherit;"></span><br /></div>
<span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: inherit;">
</span><span style="font-family: inherit;">
</span><span style="font-family: inherit;">
</span></span></span><br />
<span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
</span><span style="font-family: Verdana, sans-serif;">
</span></span><br />
<span style="font-family: inherit;">
</span><span style="font-family: inherit;">
</span><table border="1" cellpadding="3" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td bgcolor="#feebf4"><span style="font-family: inherit;">ปัจจุบันพบว่า อัตราการละเมิดสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นส่วนบุคคล
การล่วงละเมิดไปยังองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน มีอีตราแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าใน 20 อันดับของประเทศทั่วโลก ยังไม่ปรากฎประเทศไทย
แต่จากการประเมินเฉพาะการละเมิดลิขสิทธิ์ทางด้านซอฟท์แวร์อย่างเดียวโดย </span><a href="http://www.bsa.org/country.aspx?sc_lang=th-TH" target="_blank"><span style="font-family: inherit;">BSA</span></a><span style="font-family: Verdana, sans-serif;"><span style="font-family: inherit;"><span style="font-family: inherit;">
ประเทศไทยก็อยู่ในลำดับต้นๆของธุรกิจซอฟท์แวร์เถื่อน
นอกจากนี้การบุกรุกเข้าเครือข่ายของภาครัฐและเอกชน เริ่มมี
การเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง ทำให้หน่วยงาน
ทั้งราชการต้องให้ความสำคัญต่อภัยร้ายในด้านนี้
โดยกำหนดลงในเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
ว่าด้วยส่วนราชการจะต้องมีระบบรองรับภาวะฉุกเฉินด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ซึ่งได้ดำเนินการให้ส่วนราชการทุกหน่วยงานในสังกัดของทุกกระทรวง
ได้จัดทำแผนสำรองภาวะฉุกเฉินด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแระจำทุกปี
อย่างต่อเนื่อง</span> </span></span></td></tr>
</tbody></table>
Unknownnoreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-57608030016438188042012-07-08T13:10:00.000+07:002012-07-08T13:10:09.756+07:0012.6 ปัญหาด้านสิทธิและข้อกฎหมายในปัจจุบันอัตราการขยายตัวของผู้ใช้งานผ่านระบบเครือข่ายและอินเทอร์เนตทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยมีมากขึ้น เป็นการเติบโตที่รวดเร็ว จะเห็นได้จากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เนตในประเทศไทยมีจำนวนมากขึ้นในแต่ละปี หลายล้านคน เกิดสังคมและชุมชนใหม่ๆในโลกไซเบอร์ที่มีทั้งสังคมที่ดีนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การเรียนรู้ การศึกษา การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ และอื่นๆ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKCmQPPZrc86dTm6q5ha70oUWw61a6K-CTcL-9Ari65JvNXLUXkc4U6otokRRY0MaB12n4FlTSyUxMpwc2yLoQjxi8BWQTbY1tK0-jJGEfU38QhOHE-ZvulOvQtVfge6MfXoAeX385dz4/s1600/laws1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="230" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKCmQPPZrc86dTm6q5ha70oUWw61a6K-CTcL-9Ari65JvNXLUXkc4U6otokRRY0MaB12n4FlTSyUxMpwc2yLoQjxi8BWQTbY1tK0-jJGEfU38QhOHE-ZvulOvQtVfge6MfXoAeX385dz4/s320/laws1.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
</div>
<strong><span style="font-size: large;"> ปัญหาด้านสิทธิและข้อกฎหมาย</span></strong> <br />
แต่ในโลกของสังคมที่แวดล้อมไปด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นำมาซึ่งความสะดวกสบาย เกิดพัฒนาการทางความคิด จากมวลความรู้ ที่มากมายมหาศาลบนโลกเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว กว้างไกล แต่ในความก้าวหน้าของสังคมที่เกิดขึ้น สังคมร้ายที่แอบแฝง มีพัฒนาการในการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคล สิทธิขององค์กรในหลายลักษณะโดยเฉพาะการลุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรง สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง นับมูลค่ามหาศาล ดังนั้น ในทุกๆประเทศรวมทั้งประเทศไทย จึงต้องมีกฎหมายให้การคุ้มครองสิทธิพื้นฐานต่างๆ กฎหมายทางเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็นในสังคม <br />
<br />
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศมิได้มีเฉพาะในด้านดี แต่ยังนำมาซึ่งปัญหาใหม่ๆที่เรียกว่า อาชญากรรมบนเครือข่าย ตัวอย่างเช่น <br />
<ol>
<li>อาชญากรรมการขโมยข้อมูล<br />อาชญากรรมประเภทนี้อยู่ ในรูปของการเข้าถึงระบบเพื่อขโมยความลับ การขโมยข้อมูลสารสนเทศ </li>
<li>แพร่ข้อมูลหลอกลวง<br />เป็นการส่งข้อมูลถึงผู้บริโภคด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือข้อมูลหลอกลวง ซึ่งบางเรื่องเกิดการลุกลามแพร่กระจายไปอย่างมาก และรวดเร็ว จนระบบเมล์ขององค์กรหรือหน่วยงานในบางแห่งไม่สามารถที่จะรองรับข้อมูลเมล์ได้ เป็นผลทำให้ระบบล่มทันที </li>
<li>การเผยแพร่ข้อมูลที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล<br />การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลโดยการเผยแพร่ข้อมูลหรือรูปภาพต่อสาธารณชน ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจไม่เป็นจริงหรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้องออกสู่สาธารณชน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลโดยไม่สามารถป้องกันตนเองได้ การละเมิดสิทธิส่วน บุคคล เช่นนี้ต้องมีกฎหมายออกมาให้ความคุ้มครองเพื่อให้นำข้อมูลต่างๆ มาใช้ในทางที่ถูกต้อง </li>
<li>การบุกรุกและทำลายข้อมูล<br />การเข้าถึงระบบฐานข้อมูลส่วนบุคคลหรือองค์กรโดยที่ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรง ปัจจุบันพบว่ามีเว็บไซต์หลายแห่งทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ถูกบุกรุกเข้าดู ค้นหา แก้ไข ทำลายข้อมูลที่มีอยู่ในระบบ ทำให้เกิดความเสียหายโดยรวม</li>
<li>การโจมตีเผยแพร่ไวรัส<br />ปัจจุบันพบว่า การโจมตีการเผยแพร่ไวรัสไปยังเวปไซต์ ไปยังอีเมล์ต่างๆ นับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขี้น สร้างผลร้ายโดยรวม เป็นอันมาก ยิ่งเทคโนโลยีการใช้สื่อพกพาประเภท Flash drive ที่นิยมกันอย่างมาก ก็ยิ่งเป็นส่วนนำพาแพร่กระจายไวรัสได้มากยิ่งขึ้น</li>
<li>การใช้ช่องทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในการประกอบอาชญากรรมหรือสิ่งผิดกฎหมาย<br />หน่วยงาน สถานศึกษา สถานที่ราชการหลายแห่ง ได้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สาน (WiFi) ซึ่งบางแห่งเป็นบริการสาธารณะเปิดใช้โดยไม่มีระบบการเข้ารหัสการใช้งาน ซึ่งอาจจะมีผู้ใช้ช่องทางนี้ นำไปประกอบอาชญากรรม หรือกระทำความผิด ในลักษณะต่างๆอาทิ การซั่งซื้อของผิดกฎหมาย การก่ออาชญากรรมทางการเงิน การส่งข่าวสารที่เป็นภัยต่อบุคคล ต่อองค์กร ต่อความมั่นคง และในด้านอื่นๆ อีก</li>
</ol>
<br />
<div>
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhs5ml8u5RaQkAdVDXYG8cj_SDoiXA7IjBUokyWKx2TIzOJB_Cm2Bn9wF2o1kEbs9DFuuy8olnOFI76QwVumVZ3fVd352A6N3zduWwEONx4jtnZl6XCM7jhyphenhyphenwPYk7es47mcF2gg886b240/s1600/laws2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhs5ml8u5RaQkAdVDXYG8cj_SDoiXA7IjBUokyWKx2TIzOJB_Cm2Bn9wF2o1kEbs9DFuuy8olnOFI76QwVumVZ3fVd352A6N3zduWwEONx4jtnZl6XCM7jhyphenhyphenwPYk7es47mcF2gg886b240/s320/laws2.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
</div>
กรอบสาระของกฎหมายที่ถูกระบุไว้ข้างต้นนี้ ถูกใช้เป็นข้อมูลหลักในกระบวนการการจัดทำกฎหมาย ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ หรือยุบรวมกันในระหว่างกระบวนการจัดทำกฎหมายได้ ดังจะเห็นได้จากกฎหมายที่มีผลใช้บังคับ คือ พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ซึ่งเป็นกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้รวมเอากรอบสาระของกฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ไว้ด้วยกัน พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มีผลใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2545 กฎหมายดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์อย่างมาก ทั้งต่อตัวผู้กระทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม เพราะกฎหมายดังกล่าวได้ระบุเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าไว้ด้วย ซึ่งเมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้วทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ จะต้องปรับตัวและเรียนรู้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องด้วย การบังคับใช้กฎหมายจึงจะบรรลุตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้ <br />
นอกจากนี้ยังมีกฎหมายสำคัญอีกฉบับคือ พระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พศ. 2550 ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งหลายต้องรับทราบและเข้าใจ เพราะนอกจากคำว่า “กฎหมาย” จะเป็นเหมือนข้อบังคับสำหรับทุกบุคคล ที่อยู่ใต้บังคับของกฎหมายต้อง รับรู้รับทราบแล้ว รายละเอียดในกฎหมายฉบับนี้ยังเกี่ยวข้องกับสิทธิที่ควรทราบ และบทลงโทษ ที่คนทั่วไปที่ใช้ระบบเครือข่ายสารสนเทศทั่วๆไปอาจละเมิดได้ <br />
<br />
<div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s1600/leader.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s320/leader.png" width="320" /></a></div>
<br />
<div>
<strong><span style="font-size: large;"> การวิเคราะห์ปัญหา</span></strong></div>
การวิเคราะห์ปัญหาสิทธิและข้อกฎหมายในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
ปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศเริ่มทวีความรุนแรง และไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีการอื่นอย่างรวดเร็วหรือเฉียบพลันได้ การกำหนดให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย และบทลงโทษของการละเมิดจึงเป็นสิ่งจำเป็น ผู้บริหารระบบสารสนเทศจะต้องระบุข้อกำหนดทางด้านกฎ ระเบียบ ข้อบังคับบทลงโทษ หรือสัญญา ที่จะต้องปฏิบัติตาม เพื่อป้องกันปัญหาสังคมที่จะมากับเทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติตามข้อกำหนดทางลิขสิทธิ์ (Copyright) ในการใช้งานทรัพย์สินทางปัญญา การป้องกันข้อมูลส่วนตัวของพนักงาน เป็นต้น จะสังเกตได้ว่าแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น จะเริ่มจากการแก้ปัญหาที่ตัวบุคคล จากนั้นจะพิจารณาแก้ปัญหาด้วยวิธีการในการสร้างวัฒนธรรมที่ดีในสังคม ก่อนที่จะใช้วิธีการบังคับด้วยกฎหมาย ซึ่งจะใช้กับปัญหาที่รุนแรง อย่างไรก็ตามวิธีการแก้ปัญหาด้วยการบังคับใช้กฎหมายนั้นจะไม่ยั่งยืน ผิดกับแนวทางในการสร้างจริยธรรมในหมู่ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยตรง ซึ่งในตอนถัดไปจะกล่าวถึงจริยธรรม และกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ประเด็นการใช้จริยธรรมเพื่อแก้ปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ <br />
<br />
<div>
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUslqvPeHSGPIZ-b_94aQZzXUZ8IhRqKe0Vnsv84Z9TZpCYc6P5FDvp5Qt3pgslxX50ha09SMpJ7N4zxxTQnKt4IjGG9xVR_TyJcK8tRf_ls74sbxCAcnxOwOuMrTsDyz3zKIKbmc6UTY/s1600/law_ict.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="304" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUslqvPeHSGPIZ-b_94aQZzXUZ8IhRqKe0Vnsv84Z9TZpCYc6P5FDvp5Qt3pgslxX50ha09SMpJ7N4zxxTQnKt4IjGG9xVR_TyJcK8tRf_ls74sbxCAcnxOwOuMrTsDyz3zKIKbmc6UTY/s640/law_ict.png" width="640" /></a></div>
<div>
</div>
<span style="font-size: large;"><strong>แนวทางการแก้ไขปัญหา</strong></span><br />
การแก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการแก้ไขปัญหาสังคมโดยทั่วไปนั้น การเสริมสร้างจริยธรรมในหมู่สมาชิกในสังคมเป็นทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องและยั่งยืนที่สุด แต่ความเป็นจริงนั้นเราไม่สามารถสร้างจริยธรรมให้กับปัจเจกบุคคลโดยทั่วถึงได้ ดังนั้นสังคมจึงได้สร้างกลไกใหม่ขึ้นไว้บังคับใช้ในรูปแบบของวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม อย่างไรก็ตามเมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้น รูปแบบของปัญหาสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นจะต้องตราเป็นกฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับ ในลักษณะต่างๆ รวมถึงกฎหมายด้วย ในกรณีของเทคโนโลยีสารสนเทศนี้ก็เช่นกัน การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต ทำให้รูปแบบของปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ มีความหลากหลายและยุ่งยากมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกลไกในรูปของกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศไว้ใช้บังคับ <br />
สำหรับในประเทศไทยก็ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยได้มีการปฏิรูปกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ระบุว่า<span style="color: red;"> “รัฐจะต้องพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และระบบสาธารณูปโภคตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ”</span> <br />
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7eD0bVZBKxAl-sS8n_J7cuYphy56Tvdyc6VMOBmVOqtZ_7TFBsQ9YU5IT55wxSSv9ODSC060WjnMAmGY5EETrvpC-gIiBFt46xGxIadwTzUX0cMWUAN2pP_qIr8AqxNar6XjUzEs6GxI/s1600/laws.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="194" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7eD0bVZBKxAl-sS8n_J7cuYphy56Tvdyc6VMOBmVOqtZ_7TFBsQ9YU5IT55wxSSv9ODSC060WjnMAmGY5EETrvpC-gIiBFt46xGxIadwTzUX0cMWUAN2pP_qIr8AqxNar6XjUzEs6GxI/s320/laws.jpg" width="320" /></a></div>
<strong><span style="font-size: large;"> กฎหมายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ควรรู้</span></strong><br />
<br />
<div>
</div>
ในฐานะที่ท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ท่านก็จำเป็นจะต้องศึกษาเรียนรู้กฎหมายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไว้ เพื่อที่จะได้ทราบถึงสิทธิ ข้อความระวัง และการคุ้มครองสิทธิของท่านในฐานะผู้ใช้งาน ประชาชน และผู้เกี่ยวข้องในการใช้ระบบ<br />
<br />
<br />
กฎหมายด้า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีหลายฉบับ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ <br />
<ol>
<li><span style="color: red;">กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ Computer Relate Crime)</span> : <div>
เพื่อคุ้มครองสังคมจากความผิดที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารอันถือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง (Intangible Object) ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้ไปแล้ว</div>
<div>
</div>
</li>
<li><span style="color: red;">กฎหมายพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Commerce)</span> : <div>
เพื่อคุ้มครองการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต ในด้านต่างปัจจุบันมีกฎหมายที่ประกาศใช้แล้ว คือ พระราชบัญญัติ ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ภายใน พรบ. ฉบับนี้ จะมีส่วนสำคัญในเรื่องของการใช้ลายมืออิเล็กทรอนิกส์ รวมอยู่ด้วย เพื่อให้การใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ความมั่นใจให้แก่คู่กรณีในอันที่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยี เพื่อการลงลายมือชื่อ เช่นเดียวกับการลงลายมือชื่อแบบธรรมดา สามารถระบุตัวบุคคลผู้ลงลายมือชื่อ สามารถแสดงได้ว่าบุคคลนั้นเห็นด้วยกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์กำกับอยู่ </div>
<div>
<span style="color: red;"> </span></div>
</li>
<li><span style="color: red;">กฎหมายโทรคมนาคม (Telecommunication Law)</span> : <div>
เพื่อวางกลไกในการเปิดเสรีให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและมีประมิทธิภาพ ทั้งสร้างหลักประกันให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการโทรคมนาคมได้อย่างทั่วถึง (Universal Service) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ </div>
</li>
</ol>
<ul>
<li>พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 </li>
<li>พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 </li>
<li>พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๙ </li>
<li>พรบ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 </li>
<li>พรบ.โทรเลขและโทรศัพท์ พ.ศ.2477</li>
<li>พรบ.องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2497</li>
<li>พรบ.โทรเลขและโทรศัพท์ พ.ศ.2517</li>
<li>พรบ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498</li>
<li>พรบ.คุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก พ.ศ.2522 </li>
<li>พรบ.คุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ </li>
<li>พรบ.การสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2519</li>
<li>พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ฯ </li>
<li>พรบ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544</li>
</ul>
<br />
นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับ ที่รอการดำเนินการ อาทิ<br />
<ul>
<li>กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Funds Tranfer) :<div>
เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างหลักประกันที่มั่นคง</div>
</li>
<li>กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) : <div>
เพื่อคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวจากการนำข้อมูลของบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ</div>
</li>
<li>กฎหมายการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็คทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange : EDI ) : <div>
เพื่อที่จะเอื้อให้มีการทำนิติกรรมสัญญาทางอิเล็คทรอนิกส์ได้ </div>
</li>
<li>กฎหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์</li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsJwa_4wfrOO3-_obEce3hRu1XU0Jkf1rmI-i3sPDvbJCSfOGVVPtqzZQMYelLwGZjSeJaiodv1kUTRTkwmrxckoS13-k9Jss7dB9rE9loXSiYVOIwNC3WJabBUA06tmPRwzhZ6kxa9Ew/s1600/ICT_azione_collettiva_2007.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsJwa_4wfrOO3-_obEce3hRu1XU0Jkf1rmI-i3sPDvbJCSfOGVVPtqzZQMYelLwGZjSeJaiodv1kUTRTkwmrxckoS13-k9Jss7dB9rE9loXSiYVOIwNC3WJabBUA06tmPRwzhZ6kxa9Ew/s1600/ICT_azione_collettiva_2007.jpg" /></a></div>
<div>
</div>
ปัจจุบันพบว่า อัตราการละเมิดสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นส่วนบุคคล การล่วงละเมิดไปยังองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน มีอีตราแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าใน 20 อันดับของประเทศทั่วโลก ยังไม่ปรากฎประเทศไทย แต่จากการประเมินเฉพาะการละเมิดลิขสิทธิ์ทางด้านซอฟท์แวร์อย่างเดียวโดย BSA ประเทศไทยก็อยู่ในลำดับต้นๆของธุรกิจซอฟท์แวร์เถื่อน นอกจากนี้การบุกรุกเข้าเครือข่ายของภาครัฐและเอกชน เริ่มมี การเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง ทำให้หน่วยงาน ทั้งราชการต้องให้ความสำคัญต่อภัยร้ายในด้านนี้ โดยกำหนดลงในเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ว่าด้วยส่วนราชการจะต้องมีระบบรองรับภาวะฉุกเฉินด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งได้ดำเนินการให้ส่วนราชการทุกหน่วยงานในสังกัดของทุกกระทรวง ได้จัดทำแผนสำรองภาวะฉุกเฉินด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแระจำทุกปี อย่างต่อเนื่องUnknownnoreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-59124751353796151632012-07-08T11:56:00.004+07:002012-07-08T11:56:43.831+07:0012.5 ปัญหาและผลกระทบด้านสังคมปัจจุบันมนุษย์เราได้รับประโยชน์มหาศาลจากการใช้ช่องทาง เครื่องมือทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ใช้เป็นช่องทางในการเข้าถึงข่าวสาร ความรู้ สาระบันเทิง การติดต่อสื่อสาร ซึ่งเทคโนโลยีเครือข่ายได้ผสมผสานกลไกการเชื่อมโยงไม่ว่าจะคอมพิวเตอร์ สื่อพกพาต่างๆ ระบบโทรศัพท์ ต่างเชื่อมโยงเข้าถึงกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งสื่อต่างๆเหล่านี้มีผลต่อวิถีของชีวิตมนุษย์ หากใช้สื่อต่างๆเหล่านี้ไม่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดปัญหาสังคมขึ้นได้ <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsJwa_4wfrOO3-_obEce3hRu1XU0Jkf1rmI-i3sPDvbJCSfOGVVPtqzZQMYelLwGZjSeJaiodv1kUTRTkwmrxckoS13-k9Jss7dB9rE9loXSiYVOIwNC3WJabBUA06tmPRwzhZ6kxa9Ew/s1600/ICT_azione_collettiva_2007.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsJwa_4wfrOO3-_obEce3hRu1XU0Jkf1rmI-i3sPDvbJCSfOGVVPtqzZQMYelLwGZjSeJaiodv1kUTRTkwmrxckoS13-k9Jss7dB9rE9loXSiYVOIwNC3WJabBUA06tmPRwzhZ6kxa9Ew/s1600/ICT_azione_collettiva_2007.jpg" /></a></div>
<div>
</div>
การเรียนรู้เพื่อสร้างความเข้าใจในปัญหาสังคมที่เกิดจากการใช้สื่อสารสนเทศเหล่านี้จึงมีความจำเป็น ทั้งนี้เพื่อที่มนุษย์สามารถดำรงอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีใหม่นี้ได้อย่างชาญฉลาด ในสังคมปกติการติดต่อสื่อสารกับบุคคลทั่วไปนั้นจะมีเรื่องของ มารยาทและจริยธรรม เป็นแนวทางในการกำหนดให้สมาชิกในสังคมนั้นปฏิบัติในสิ่งที่เหมาะสม แต่ไม่มีการลงโทษอย่างเป็นทางการหากเกิดการละเมิดหรือกระทำผิดหลักมารยาทหรือจริยธรรม ดังนั้นรัฐจึงตรากฎหมายขึ้นเพื่อใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตามเป็นมาตรการสูงสุดในการควบคุมและลงโทษ ดังนั้น การศึกษาหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคม ที่เกิดจากสื่อสารสนเทศจะต้องทำควบคู่กันไปกับการใช้ประโยชน์ การตระหนักในเรื่องมารยาทและจริยธรรมของผู้ใช้สื่อสารสนเทศ เป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันและแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การสร้างวัฒนธรรมที่ดีในสังคม จะสามารถช่วยแก้ปัญหาสังคมเหล่านี้ได้ในเบื้องต้น แต่หากเมื่อปัญหามีความรุนแรงก็ต้องใช้กฎหมายมาควบคุม โดยในบทนี้จะกล่าวถึงมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่พึงรู้ ปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ เราสามารถพิจารณาปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้จากการวิเคราะห์ทัศนคติต่อเทคโนโลยีสารสนเทศ ในมุมมองที่แตกต่างกัน<br />
<br />
<div>
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" /></a></div>
<div>
</div>
<strong><span style="font-size: large;"> ปัญหาทางสังคมที่พบมากที่สุด</span></strong> <br />
ปัญหาทางสังคมในการใช้เทคโนดลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวันที่พบมากที่สุด พอสรุป ปัญหาได้ ดังนี้<br />
<ol>
<li>มีผลต่อความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์</li>
<li>ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ที่มีพัฒนาการที่ดีและรวดเร็วขึ้น</li>
<li>เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลที่เป็นเท็จมากขึ้น</li>
<li>เกิดข้อมูลหลอกลวง</li>
<li>สะดวกสบายมากขึ้นแต่ก็มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นตามไปด้วย</li>
<li>เกิดการบุกรุก โจมตีข้อมูลองค์กรและส่วนราชการ</li>
<li>มีผลกระทบต่อการศึกษา ผู้เรียน เด็ก ติดเกม มากขึ้น</li>
<li>เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์</li>
<li>นำเทคโนโลยีมาใช้ในทางที่ผิด</li>
<li>เป็นช่องทางในการเกิดอาชญากรรม</li>
<li>เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล</li>
</ol>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHVgsnDRBa4ynIACfRsPbcu5J_C-t1LARotr-e_DgqcRWFXNUV8SfaCs9v4zeBedRRiN01Spy5SAr-4EdtdvOY6RZppqAsj_Eq0ldnbWXtzbP0LJ9zxMXiS1FQd9qko30gKgs6fOll9ko/s1600/manage.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHVgsnDRBa4ynIACfRsPbcu5J_C-t1LARotr-e_DgqcRWFXNUV8SfaCs9v4zeBedRRiN01Spy5SAr-4EdtdvOY6RZppqAsj_Eq0ldnbWXtzbP0LJ9zxMXiS1FQd9qko30gKgs6fOll9ko/s320/manage.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
</div>
<span style="font-size: large;"><strong>แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหา</strong></span><br />
<div>
แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ </div>
<ol>
<li>ใช้แนวทางสร้างจริยธรรม (Ethic) ในตัวผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ<div>
แนวทางนี้มีหลักอยู่ว่าผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จะระมัดระวังไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อผู้อื่น </div>
</li>
<li>สร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง <div>
ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศพึงรำลึกอยู่เสมอว่า ในสังคมของเราทุกวันนี้ยังมีคนไม่ดีปะปนอยู่มากพอสมควร </div>
</li>
<li>ใช้แนวทางการควบคุมสังคมโดยใช้วัฒนธรรมที่ดี <div>
แนวทางนี้มีหลักอยู่ว่าวัฒนธรรมที่ดีนั้นสามารถควบคุมและแก้ปัญหาสังคมได้ การดำรงอยู่และส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดีไว้ เป็นสิ่งจำเป็นในยุคสารสนเทศ ยกตัวอย่างเช่น การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยกย่องในผลงานของผู้อื่น เป็นวัฒนธรรมที่ดีและ </div>
</li>
<li>การสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมชุมชน <div>
ผู้รับผิดชอบในการจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและสมาชิกของสังคม พึงตระหนักถึงภัยอันตรายที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสารสนเทศ และหาการป้องกัน </div>
</li>
<li>ใช้แนวทางการเข้าสู่มาตรฐานการบริหารจัดการการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ในปัจจุบันองค์กรต่างๆ</li>
<li>ใช้แนวทางการบังคับให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย และบทลงโทษของการละเมิด เป็นสิ่งจำเป็น ผู้บริหารระบบสารสนเทศจะต้องระบุข้อกำหนดทางด้านกฎ ระเบียบ</li>
</ol>
<br />
<div>
</div>
<a href="http://www.bangkokbiznews.com/2008/06/11/news_265638.php" target="_blank">กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ </a>: ไม่มีใครปฏิเสธว่า อินเทอร์เน็ตมีบทบาทต่อชีวิตคนทุกเพศทุกวัย ไม่เลือกเด็ก หรือผู้ใหญ่ และแน่นอนว่า ภัยออนไลน์ที่แฝงตัวอยู่กับโลกดิจิทัลก็ไม่เลือกปฏิบัติการร้ายต่อคนใดคนหนึ่ง ทุกคนกลายเป็นเป้าหมายได้เท่าเทียมกัน หากเด็ก หรือเยาวชน อาจเป็นเป้าหมายที่หลอกล่อง่ายหน่อย เพราะความระมัดระวังยังน้อยอยู่ ฉะนั้น ผู้ปกครองจึงต้องช่วยกันปกป้อง สร้างภูมิคุ้มกันให้เขาเหล่านั้น <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" /></a></div>
<div>
</div>
เอฟเฟนดี้ อิบราฮิม หัวหน้าฝ่ายธุรกิจคอนซูเมอร์ประจำภูมิภาคเอเชียใต้ บริษัท ไซแมนเทค คอร์ปอเรชั่น จำกัด บอกว่า ภัยออนไลน์ มีหลายรูปแบบ ทั้งการฉ้อโกง หลอกลวง ภาพโป๊ลามกอนาจาร การส่งต่อคลิปฉาว ข่าวลือ การข่มขู่คุกคาม รวมถึงเกม ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเยาวชน ภัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนแพร่กระจายสู่คนหมู่มากได้อย่างรวดเร็ว ยากต่อการยับยั้ง จากการที่ประตูสู่โลกกว้างถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ทั้งเพื่อศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ การบันเทิง การพูดคุยกับเพื่อน หรือการรู้จักเพื่อนใหม่ ที่กลายเป็นสิ่งใกล้ชิดเยาวชนมากขึ้นทุกวัน <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" /></a></div>
<div>
</div>
พ่อแม่ผู้ปกครองจึงต้องเรียนรู้ที่จะสังเกตสอดส่องพฤติกรรมของบุตรหลาน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามจากโลกไซเบอร์ อิบราฮิม บอกวิธีการสังเกตกรณีเด็กๆ เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อว่า ให้สังเกตพฤติกรรมการแสดงออกของบุตรหลานว่ามีอาคารซึมเศร้า โกรธ สับสน ภายหลังการใช้โทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์หรือไม่ มีพฤติกรรมชอบปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนหรือกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ คะแนนการเรียนต่ำลง หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด หากพบเห็นการณ์เช่นนั้น เขามีวิธีแก้ไขว่า ให้คุยอย่างเปิดใจและให้ความมั่นใจว่าจะไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตของเขา เช่น ห้ามใช้มือถือ เล่นเน็ต ฯลฯ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้เขายิ่งถลำลึกมากขึ้น เหมือนยิ่งพูดยิ่งยุ ในกรณีที่เด็กถูกข่มขู่ พยายามให้เขาเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุด พร้อมกับทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ คือ เก็บหลักฐานเท่าที่จะหาได้ แจ้งหน่วยงานปราบปรามหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ แจ้งไปยังผู้ให้บริการมือถือ หรือไอเอสพีให้ตรวจสอบถึงต้นตอหรือที่มาของเวบไซต์ล่อลวงเหล่านั้น<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" /></a></div>
<div>
</div>
กรณีที่เหตุการณ์มีที่มาจากสถานศึกษาให้ติดต่อครูหรือผู้ดูแลสถานศึกษาเพื่อช่วยเป็นหูเป็นตาให้อีกแรง รวมทั้งคอยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดียวกันกับเด็กกลุ่มอื่นๆ และหากเข้าข่ายเป็นการข่มขู่เกี่ยวกับการประทุษร้าย หรือการล่วงละเมิดทางเพศ ให้แจ้งตำรวจทันที ส่วนจะรู้ได้อย่างไรว่าบุตรหลานของเราตกเป็นเหยื่อภัยคุกคามทางออนไลน์หรือไม่ เขาแนะนำให้ตรวจสอบเวบไซต์ที่บุตรหลานเข้าไปดู และสืบค้นดูว่ามีชื่อของบุตรหลานเราอยู่ใน Social Networking นั้นๆ หรือไม่ ตรวจสอบมือถือ หมายเลขโทรเข้า-ออก และข้อความหรือภาพที่เก็บไว้บนเครื่อง หากบุตรหลานรู้สึกว่าเป็นการบุกรุกสิทธิส่วนตัวเขา จะต้องทำความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องคอยดูแลและรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำลงไป และหากบุตรหลานยังคงมีพฤติกรรมการเล่นเน็ตที่ล่อแหลมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ปกครองอาจใช้วิธีขอร้องแกมบังคับการลดการใช้มือถือและคอมพิวเตอร์ลงเพื่อยับยั้งภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ เทคโนโลยีมีประโยชน์กับชีวิตเรามากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านข้อมูลข่าวสารที่สะดวกรวดเร็ว แม่นยำ หรือเป็นช่องทางการสื่อสาร เป็นประตูให้เราเปิดไปสู่โลกที่ไร้ขีดจำกัด แต่ขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็มีด้านลบที่อันตราย ถ้าเลือกใช้ไม่ถูกทาง ฉะนั้นเราจึงต้องสอนให้เขาได้รู้จักและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านั้นให้ถูกต้อง <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" /></a></div>
<div>
</div>
อิบราฮิม ยังฝากทิปการเล่นไอเอ็ม (Instant Message) ให้ปลอดภัย โดยบล็อกคนที่ไม่รู้จัก หรือไม่ต้องการติดต่อด้วย อย่าส่งข้อมูลส่วนตัวผ่านไอเอ็ม อย่าตอบกลับคนแปลกหน้า อย่าคลิกเวบลิงค์หรือเปิดไฟล์ที่ไม่ทราบที่มาที่ไปหรือน่าสงสัยว่าอาจมีไวรัสแฝงเข้ามา อย่านัดพบเพื่อนทางเน็ต สอดส่องดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิดให้ห่างไกลจากการถูกล่อลวงUnknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-31374745686193297122012-07-08T11:49:00.003+07:002012-07-08T11:49:45.057+07:0012.4 ปัญหาจากครูผู้สอนและผู้เรียนสาระสำคัญของการปฏิรูปการเรียนรู้ ก็คือการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมในการเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับ พร้อมคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ ปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีนิสัยรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต รูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ มีความหลากหลาย <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiF7iLxKH5nGtmPucaQ3QzBYhvyHr4ryPrQxQs8DQ-xbuc5gPPvSJuLy4CW69WaCa-yJSUekboJm9LcuSzfjVsoKTANY_qWmTCwEGw7vlUQXGz2IuDdi77piKBjJxL-kuJsjX6cUo_ZtUw/s1600/ICT_A5_2web.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiF7iLxKH5nGtmPucaQ3QzBYhvyHr4ryPrQxQs8DQ-xbuc5gPPvSJuLy4CW69WaCa-yJSUekboJm9LcuSzfjVsoKTANY_qWmTCwEGw7vlUQXGz2IuDdi77piKBjJxL-kuJsjX6cUo_ZtUw/s1600/ICT_A5_2web.jpg" /></a></div>
<div>
</div>
ในรูปแบบลักษณะและช่องทางของตัวสื่อ สนองตอบศักยภาพและความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ ในการจัดการเรียนการสอนแบบนี้ ครูผู้สอนจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่ ให้สอดคล้องกับกระบวนการศึกษาที่เปลี่ยนไป ครูต้องใฝ่รู้ แสวงหา สาระเนื้อหาใหม่ๆ ครูผู้สอนต้องพัฒนาสื่อ นวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่สำคัญ ครูผู้สอนต้องเข้าใจ ต้องเรียนรู้ และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการจัดการศึกษาได้อย่างผสมผสานอีกด้วย<br />
แต่ความเป็นจริงแล้ว ยังมีครูผู้สอนอีกมาก ที่ ไม่ยอมรับกระแสของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ไม่สามารถ ก้าวตามหรือมีความรู้เพียงพอในการเข้าถึง รวมถึงตามทันการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ ทำให้ไม่สามารถเฝ้าระวัง การเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ไม่ดี นำไปสู่ผลกระทบอย่างร้ายแรงของการศึกษาของเด็กผู้เรียน<br />
ปัญหาอีกประการที่นับวันจะทวีความรุนแรงมาก็คือ สิ่งมอมเมาออนไลน์ ที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ ได้กลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญ ของการจัดการศึกษา ด้วยกระแสของเทคโนโลยีสารสนเทศ นับวันมีวิวัฒนาการมากขึ้น แต่กลับมีราคาถูกลง ทำให้ดอกาสการเข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ต ไปสู่สังคมออนไลนืต่างๆ กระทำได้ง่ายขึ้น พ่อแม่ผู้ปกครอง หลายราย มีความเข้าใจในเทคโนโลยีที่น้อยมาก การที่จะเป็นเกราะปกป้องคุ้มภัยจึงกระทำได้ยาก<br />
<br />
<div>
<span style="font-size: large;"><strong>สาเหตุแห่งปัญหาจากครูผู้สอน</strong></span></div>
สาเหตุแห่งปัญหาจากครูผู้สอนในสถานศึกษา<br />
<ol>
<li>ครูผู้สอนไม่เห็นความสำคัญของนวัตกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ</li>
<li>ครูผู้สอนขาดประสบการณ์หรือความชำนาญในการใช้สื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ</li>
<li>ครูผู้สอนปฎิเสธปฎิเสธการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะกลัวว่าเมื่อเข้ามาแทนที่ ตนเองสูญเสียความสำคัญ</li>
<li>ครูผู้สอนขาดความรู้ในการสร้างชิ้นส่วน สื่อ หรือองค์ประกอบต่างๆเพื่อจัดการเรียนการสอน</li>
<li>ครูผู้สอนไม่มีเวลาเพียงพอที่จะศึกษาเรียนรู้คุณลักษณะเแพาะของนวัตกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ</li>
<li>สื่อ สาระการเรียนรู้ที่ทำโดยครูมักมีสภาพไม่น่าสนใจ</li>
<li>ครูผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจด้านการพัฒนาสื่อเพื่อการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายน้อย</li>
<li>ครูผู้สอนที่ชำนาญการในการสอนโดยใช้เครื่องมือและสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศยังมีไม่เพียงพอ</li>
</ol>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" /></a></div>
<div>
</div>
<br />
<div>
<strong><span style="font-size: large;">สาเหตุแห่งปัญหาจากผู้เรียน</span></strong></div>
สาเหตุแห่งปัญหาจากผู้เรียน(นักเรียน/นักศึกษา)ในสถานศึกษา<br />
<ol>
<li>ผู้เรียนมุ่งเน้นการเข้าหาสิ่งบันเทิง เกม หรือการเข้าสังคมการพูดคุยมากกว่าจะเข้าสู่ด้านการเรียนรู้</li>
<li>ผู้เรียนขาดความตั้งใจในการเข้าเรียนรู้</li>
<li>ผู้เรียนใช้เครื่องมือในการสืบค้นข้อมูลไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม</li>
<li>อุปกรณ์ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้เรียน </li>
<li>ผู้เรียน เน้นความสนุกสนาน ขาดการใฝ่รู้</li>
<li>การทำงานของระบบเครือข่ายและเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องเรียนที่ค่อนข้างช้า </li>
<li>เวลาในการใช้งานและเรียนรู้ในสถานศึกษามีน้อยเกินไป</li>
<li>ขาดการปลูกฝังการเป็นสังคมแห่งนักอ่าน</li>
<li>เครือข่ายบางเครือข่ายไม่สมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถเข้าไปสืบค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ </li>
</ol>
<br />
<div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s1600/leader.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s320/leader.png" width="320" /></a></div>
<br />
<div>
<strong><span style="font-size: large;"> การวิเคราะห์ปัญหา</span></strong></div>
การวิเคราะห์ปัญหาในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครูผู้สอนและผู้เรียนในสถานศึกษา<br />
ปัจจัยหลักที่พบส่วนใหญ่ ในส่วนของครูมาจาก การไม่ได้รับการอบรม การเพิ่มพูนความรู้อย่างจริงจัง ครูที่เข้าใจทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่วนใหญ่ มาจากการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ในสถานศึกษาบางแห่งพบว่า ครูผู้สอนจะไม่ยอมรับการเรียนรู้ การเข้าถึง หรือการแสวงหาการเรียนรู้เพื่อนำมาพัฒนาสื่อ รูปแบบใหม่ๆ สนองต่อกระบวนการเรียนรู้ภายใต้ยุคสังคมสารสนเทศ<br />
ในส่วนของเด็ก ที่พบได้มากคือ การติดเกม ส่วนใหญ่จะเป็นสังคมเกมออนไลน์ อีกปัญหาที่พบก็คือสังคมการแช็ต ผ่านโปรแกรม Instant Message ต่างๆ อาทิ MSN, Yahoo, เป็นต้น ซึ่งนับได้ว่า เป็นส่วนแบ่งเวลาในการศึกษาเรียนรู้ไปได้มากทีเดียว<br />
<br />
<div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHVgsnDRBa4ynIACfRsPbcu5J_C-t1LARotr-e_DgqcRWFXNUV8SfaCs9v4zeBedRRiN01Spy5SAr-4EdtdvOY6RZppqAsj_Eq0ldnbWXtzbP0LJ9zxMXiS1FQd9qko30gKgs6fOll9ko/s1600/manage.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHVgsnDRBa4ynIACfRsPbcu5J_C-t1LARotr-e_DgqcRWFXNUV8SfaCs9v4zeBedRRiN01Spy5SAr-4EdtdvOY6RZppqAsj_Eq0ldnbWXtzbP0LJ9zxMXiS1FQd9qko30gKgs6fOll9ko/s320/manage.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div>
<strong><span style="font-size: large;">แนวทางการแก้ไขปัญหา</span></strong></div>
แนวทางการแก้ไขปัญหาในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของครูผู้สอนและผู้เรียนในสถานศึกษา<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<ol>
<li>ส่งเสริมให้ความรู้ การใช้งาน เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอนของครูผู้สอน ให้มีความรู้สามารถใช้งาน เข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้</li>
<li>ส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีความรู้ ทักษะ การสร้างสื่อ นวัตกรรม และบทเรียนด้วยวิธีการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ</li>
<li>ส่งเสริมให้มีการพัฒนาสื่อ(บทเรียน) โดยใช้กระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ </li>
<li>เร่งพัฒนาช่องทางการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ การพัฒนาสื่อออนไลน์ ของหน่วยงานสถานศึกษา</li>
<li>กำหนดวิธีการให้ผู้เรียน เข้ามาใช้งาน การเรียนรุ้ร่วมกับช่องทางการเรียนรู้ของสถานศึกษา</li>
<li>แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน</li>
<li>ส่งเสริมให้ครูและผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือการศึกษาด้วยตนเองผ่านช่องทางเทคโนโลยีสารสนเทศ</li>
</ol>Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-9906321430868251402012-07-05T16:54:00.002+07:002012-07-08T11:51:30.311+07:0012.3 ปัญหาจากพัฒนาการด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศึกษาปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นส่วนจำเป็นในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาให้กว้างไกล เป็นส่วต่อยอดในการพัฒนาทางความคิดให้กับผู้เรียนได้ดีอีกช่องทางหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการปฏิรูปการศึกษา เพื่อพัฒนา และปรับเปลี่ยนรูปแบบ และวิธีการ จัดการเรียนรู้ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยีการนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนในการจัดการศึกษา ส่งผลให้สถานศึกษาเกือบทุกแห่งในปัจจุบันต่างแข่งขัน เร่งจัดหา เครื่องมือ อุปกรณ์ เพื่อให้พอเพียง(เกินพอ) ต่อกระบวนการจัดการศึกษา<br />
<div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhk7W285eSXMdn9SgnmorSGPwapvQAnVlNOeQPldK0Fly_Id89Tt_WsM90kzNt7XD_aeeumHIpo3W9ZUMQMiJuKeh0qsaNe-zAq-6mMr3RHsrZ8TOwOKTI3TpFU0MTVnN-mPgU9SNgsGV8/s1600/ENT_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhk7W285eSXMdn9SgnmorSGPwapvQAnVlNOeQPldK0Fly_Id89Tt_WsM90kzNt7XD_aeeumHIpo3W9ZUMQMiJuKeh0qsaNe-zAq-6mMr3RHsrZ8TOwOKTI3TpFU0MTVnN-mPgU9SNgsGV8/s1600/ENT_1.jpg" /></a></div>
</div>
เราจะพบว่าระบบและอุปกรณ์ รวมถึงคอมพิวเตอร์ มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ราคากับถูกลง จนกล่าวได้ว่า ราคาของอุปกรณ์ รวมถึงราคาคอมพิวเตอร์ใกล้ที่จะถึงระดับอิ่มตัว ที่สำคัญ ตัวซอฟท์แวร์หรือโปรแกรม ต่างมีพัฒนาการที่มีการปรับปรุงรุ่นอย่างต่อเนื่องในทุกๆปี ทำให้โปรแกรมบ้างโปรแกรม ขาดความทันสมัย แต่ประเด็นสำคัญก็คือ วงจรชีวิตของอุปกรณ์ด้านคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ มักจะมีรอบวงจรชีวิต ในช่วง 5-7 ปีเท่านั้น ซึ่งหากอุปกรณ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ชำรุดหลังจากผ่านรอบวงจรชีวิตไปแล้ว อาจจะประสบปัญหา ไม่สามารถหาชิ้นส่วนมาซ่อมบำรุงได้ ดังนั้นสถานศึกษาจึงควรได้มีแผนพัฒนาระยะยาวในการรองรับปัญหาด้านระบบ รวมถึงซอฟท์แวร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ด้วย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" /></a></div>
<div>
<strong><span style="font-size: large;">สาเหตุแห่งปัญหา</span></strong></div>
ปัญหาในการพัฒนาด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ พอสรุป ปัญหาได้ ดังนี้<br />
<ol>
<li>พัฒนาการ การเจริญเติบโตทางเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว</li>
<li>ระบบเครือข่ายมีช่องว่าง ขาดการป้องกัน ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวและส่วนขององค์กรมีน้อยลง</li>
<li>โครงสร้างพื้นฐานของระบบเครือข่ายสารสนเทศที่สมบูรณ์ยังมีราคาสูง</li>
<li>ผู้ใช้งานในระบบเครือข่ายขาดความเข้าใจในการปกป้องระบบและข้อมูล</li>
<li>ผู้ใช้งานในระบบ ขาดความระมัดระวัง หรือใส่ใจหรือไม่เข้าใจคำแจ้งเตือน(ภาษาอังกฤษ)</li>
</ol>
<div>
<div style="text-align: center;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s1600/leader.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s320/leader.png" width="320" /></a></div>
<strong><span style="font-size: large;"></span></strong></div>
<strong><span style="font-size: large;">การวิเคราะห์ปัญหา</span></strong></div>
การวิเคราะห์ปัญหาด้านระบบและมาตรฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
ปัจจัยหลักที่พบส่วนใหญ่ยังคงมาจาก ขาดการกำหนดวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ นโยบายและมาตรฐาน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศึกษาเป็นอันดับแรก หรือหากมีแล้วก็พบว่าขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ ขาดการพัฒนาระบบให้มีมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันพบว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศผ่านเครือข่ายได้มีพัฒนาการที่แปรเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเว็บในปัจจุบันได้พัฒนามาสู่มาตรฐานของ web 2.0 ส่งผลให้มาตรฐานการจัดการศึกษาออนไลน์ต้องก้าวตามเข้าสู่ยุค e-learning generation ที่ 2 ตามไปด้วย ทำให้การเข้าถึงข้อมูลในบางส่วนอาจจะไม่สามารถทำได้เนื่องจาก ระบบและเทคโนโลยีที่ใช้ยังล้าสมัยไม่สามารถเข้าถึงสาระการเรียนรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ตามที่ต้องการได้ นอกจากนี้ยังอาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไร้สาย ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือ notebook / netbook มีความสามารถเข้าใช้งานเครือข่ายที่เปิดใช้งานโดยไม่มีระบบป้องกันการเข้าถึงเครือข่าย ได้กลายเป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในรูปแบบต่างๆ อาทิ การบุกรุกแก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูล การโจมตีเครือข่าย การติดต่อซื้อขายสิ่งของผิดกฎหมาย การล่อลวง หลอกลวง ด้านข้อมูล หรือหวังผลประโยชน์แอบแฝงต่างๆ นอกจากนี้การใช้งานอย่างไม่ระมัดระวัง การไม่เข้าใจหรือแปลความหมายทางภาษาอังกฤษที่ระบบแจ้งเตือน มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน แปลความหมายผิด ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการยอมรับเงื่อนไข นำมาซึ่งภัยแอบแฝงต่างๆ<br />
<br />
<div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHVgsnDRBa4ynIACfRsPbcu5J_C-t1LARotr-e_DgqcRWFXNUV8SfaCs9v4zeBedRRiN01Spy5SAr-4EdtdvOY6RZppqAsj_Eq0ldnbWXtzbP0LJ9zxMXiS1FQd9qko30gKgs6fOll9ko/s1600/manage.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHVgsnDRBa4ynIACfRsPbcu5J_C-t1LARotr-e_DgqcRWFXNUV8SfaCs9v4zeBedRRiN01Spy5SAr-4EdtdvOY6RZppqAsj_Eq0ldnbWXtzbP0LJ9zxMXiS1FQd9qko30gKgs6fOll9ko/s320/manage.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
</div>
<strong><span style="font-size: large;">แนวทางการแก้ไข</span></strong> <br />
ผู้บริหาร รวมถึงบุคลากรใน หน่วยงาน สถานศึกษา ต้องร่วมมือกันในการใช้เครือข่าย ทั้งในแบบเครือข่ายสาย และเครือข่ายไร้สาย โดยให้ความสำคัญในเรื่องต่อไปนี้ <br />
<ol>
<li>มีแผนในการพัฒนาระบบ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง<br />โดยอาจกำหนดแผนระยะยาวในการพัฒนา ปรับปรุงระบบ เครื่องมือ อุปกรณ์ และควรบันทึกช่วงระยะอายุของอุปกรณ์ในแต่ละรายการเอาไว้ เพื่อใช้ประกอบในการพัฒนาระบบในภาพรวม นอกจากนี้ ควรมีประวัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ในแต่ละเครื่องว่ามีคุณลักษณะเฉพาะอะไรบ้าง</li>
<li>วางระบบ การเข้าถึง การบุกรุกจากภายนอก (Firewall)<br />โดยปกติระบบปฎิบัติการ windows ในทุกรุ่น จะมีระบบการป้องกันอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว แต่การใช้งานจริงพบว่า ผู้ใช้งานแต่ละเครื่อง มักเป็นผู้ เปิดช่องว่างหรืออนุญาตในการเข้าถึงระบบเอง โดยการไม่เข้าใจในภาษา ข้อความที่ระบบเครื่องแจ้งเตือน ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเป็นที่สิงสถิตย์ของโปรแกรมคุกคามขนาดเล็ก(อ่านรายละเอียดภัยคุกคามเพิ่มเติม) นอกจากจะเป็นภัยคุกคามของเครื่อง ยังแพร่ลุกลามไปในเครือข่ายองค์กร สถานศึกษา นำพาไปสู่เครื่องส่วนตัวที่บ้าน ดังนั้นการทำความเข้าใจ ด้วยการฝึกอบรม การให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง <br /><br />ป้องกันการไหลเข้าและออกของข้อมูลจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตภายนอก เพื่อป้องกันการบุกรุกจากภายนอก และไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาใช้ข้อมูลภายในเครือข่ายโดยไม่จำเป็น<br /> </li>
<li>มอบหมายความรับผิดชอบแก่เจ้าหน้าที่เป็นลายลักษณ์อักษร <br />แต่ละสถานศึกษาควรมีการมอบหมายผู้ที่มีความรู้ให้รับผิดชอบเพื่อดูแลบริหารระบบให้เป็นไปตาม พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 อย่างเคร่งครัด มุ่งเน้นในการรักษาความมั่นคงของระบบเครือข่าย ป้องกันการละเมิดงานอันมีลิขสิทธิ์ ทั้งของหน่วยงาน บุคลากร ภายในสถานศึกษาและผลงาน สื่อ ที่มีลิขสิทธิ์จากแหล่งภายนอกเครือข่าย นอกจากนี้ต้องให้ความรู้ ย้ำเตือน เฝ้าระวังการกระทำของบุคลากรในองคืกร สถานศึกษาไม่ให้เกิดการกระทำที่เป็นการลักลอบการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง</li>
<li>ป้องกันการนำช่องความถี่ไร้สายไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย<br />วางมาตรการ การใช้เครือข่ายไร้สายอย่างเคร่งครัด การเปิดช่องสัญญาณไร้สาย ควรติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย โดยระบุตัวตนและรหัสผ่านเข้าใช้งานเครือข่ายทุกครั้ง นอกจากนี้ควรมีมาตรการปรับเปลี่ยนรหัสเข้าใช้งานเป็นช่วงระยะเวลาด้วย (ไม่ควรใช้รหัสผ่านชุดเดียวกันหรือใช้ช่วงระยะเวลานาน เพราะรหัสผ่านเพื่อเข้าใช้งานเครือข่ายอาจมีการรั่วไหล)</li>
<li>วางแผนการใช้งบประมาณในการจัดหาโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ของหน่วยงานอย่างถูกกฎหมาย<br />ปัจจุบันพบว่าหน่วยงาน ของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงาน สถานศึกษาส่วนใหญ่ มักจะใช้โปรแกรมหรือ วอฟท์แวร์ ละเมิดลิขสิทธิ์</li>
<li>ให้ความรู้ ด้านการใช้งานเครือข่ายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง<br />หน่วยงาน สถานศึกษาที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ และใช้งานร่วมกับเครือข่าย ควรให้ความรู้ ชี้แจงถึงสิทธิ การละเมิดสิทธิในเครือข่าย ข้อกฎหมายและบทลงโทษ การปกป้อง ป้องกันการบุกรุก การเข้าถึงระบบและข้อมูลภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รับผิดชอบ</li>
<li>กำหนดสิทธิการเข้าถึงการใช้เครือข่ายอย่างชัดเจน<br />ควรมีมาตรการในการดูแล การเฝ้าระวัง การเข้าถึง การล่วงละเมิด การเปลี่ยนแปลงสิทธิการใช้งาน การลักลอบเข้าถึง การใช้งานข้ามเครื่อง</li>
<li>ให้ความสำคัญกับการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ในระดับสูงสุด<br />ควรมีมาตรการ ข้อตกลงของหน่วยงาน สถานศึกษาในการรับผิดชอบต่อการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ใช้งานอยู่</li>
</ol>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-87893842232130508392012-07-05T16:51:00.001+07:002012-07-05T16:55:07.532+07:0012.2 ปัญหาจากการบริหารและการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศึกษาการเข้าสู่มาตรฐานการบริหารจัดการ การให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ในปัจจุบันภาคเอกชนได้ตระหนักและให้ความสำคัญ ในการกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นมาใช้เพื่อการเติบโต การแข่งขันใน เชิงธุรกิจ ที่นับวันจะมีอัตราที่สูงขึ้น ส่งผลให้สามารถช่วยลดภัยอันตรายจากเทคโนโลยีสารสนเทศได้ อาทิ เช่น มาตรฐาน การรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการประกอบธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ การให้ความรู้ รวมถึง การ ควบคุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาองค์กร การนำเสนอ การสรุปผลการดำเนินงาน<br />
<br />
แต่ในแวดวงราชการ โดยเฉพาะหน่วยงานและสถานศึกษา ดูเหมือนว่ายังก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า แม้จะมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนเช่นเดียวกันกับภาคเอกชน มีกรอบนโยบายที่ชัดเจน แต่ภาพรวมก็ยังไม่สามารถบรรลุให้เป็นไปตามมาตรฐานการบริหารการจัดการ การให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลให้การจัดการศึกษาโดยตรง การสนับสนุนการจัดการศึกษาทั้งในด้านบริหาร ด้านวิชาการ งบประมาณ ด้านบริการยังดำเนินการไม่เต็มที่ บางสถานศึกษาไม่มีช่องทางเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายภายใน หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่มีเว็บไซต์หน่วยงาน สถานศึกษา ทำให้สถานศึกษาขาดโอกาส การใช้ช่องทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการสร้างองค์ความรู้ เป็นประตูเชื่อมโยงความรู้สู่โลกภายนอก ส่งผลให้ครูผู้สอนในสถานศึกษายังมีอัตราการเข้าใช้งานทั้งในส่วนผู้ผลิต และผู้แสวงหาความรู้ในอัตราค่อนข้างต่ำ ผู้เรียนก็ขาดโอกาส หรือไม่มีช่องทางการเข้าถึง องค์ความรู้นอกห้องเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHVgsnDRBa4ynIACfRsPbcu5J_C-t1LARotr-e_DgqcRWFXNUV8SfaCs9v4zeBedRRiN01Spy5SAr-4EdtdvOY6RZppqAsj_Eq0ldnbWXtzbP0LJ9zxMXiS1FQd9qko30gKgs6fOll9ko/s1600/manage.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHVgsnDRBa4ynIACfRsPbcu5J_C-t1LARotr-e_DgqcRWFXNUV8SfaCs9v4zeBedRRiN01Spy5SAr-4EdtdvOY6RZppqAsj_Eq0ldnbWXtzbP0LJ9zxMXiS1FQd9qko30gKgs6fOll9ko/s320/manage.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div>
<strong><span style="font-size: large;">ปัญหาในเชิงบริหารและการบริการ</span></strong> </div>
<div>
ปัญหาในเชิงบริหารและการบริการ พอสรุป ปัญหาได้ ดังนี้</div>
<ol>
<li>ขาดข้อกำหนดวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ นโยบายและมาตรฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ </li>
<li>สถานศึกษาขาดการวางแผนแม่บท </li>
<li>ขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ หรือหากสนับสนุนก็ไม่เพียงพอ </li>
<li>ขาดการติดตามผลการใช้งาน ทั้งในเชิงระบบและมาตรฐานของบุคลากรด้านไอที </li>
<li>ขาดการสนับสนุนจากผู้บริหารอย่างจริงจัง</li>
<li>ไม่มีระบบการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายเป็นของสถานศึกษาเอง</li>
<li>ขาดกลไกการจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอย่างถูกระบบ</li>
<li>มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลบ่อยครั้ง </li>
<li>ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของสถานศึกษาขาดคุณภาพ ขาดมาตรฐาน</li>
<li>เวลา โอกาสการเข้าถึงช่องทางการเรียนรู้ของผู้เรียนยังมีน้อย</li>
<li>ระบบ และอุปกรณ์ที่มี มีจำนวนไม่เพียงพอต่อการให้บริการในการจัดการศึกษา</li>
<li>ระบบ และอุปกรณ์ที่มี มีมาตรฐานต่ำไม่สอดคล้องกับวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศที่เปลี่ยนไป </li>
<li>การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอนไม่เป็นไปตามข้อกำหนด </li>
<li>ผู้บริหารและครูผู้สอนขาดความรู้พื้นฐานในการใช้งานและการพัฒนางานในหน้าที่ (บริหารและการศึกษา)</li>
<li>และอื่นๆ</li>
</ol>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDb4fkJsVPDSVoSO0Nyb0Eqy5a_XguEGT7wMxbYjvavxXCY-H__2yPxprNTZO7vJXY_IArKVi_cr5kno1volTBgbfzciLkSNRwOddVGKuYSG9QZh34x0L_4b6hE1e7cw9vdizml_arYeo/s1600/TeamMaker.png" /></a></div>
<br />
<div>
<strong><span style="font-size: large;">การวิเคราะห์ปัญหา</span></strong></div>
การวิเคราะห์ปัญหาการบริหารและการบริการ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
ปัจจัยหลักที่พบในสถานศึกษาส่วนใหญ่ ขาดการกำหนดวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชัดเจน แม้จะมีมาตรการทางภาครัฐ ที่ได้กำหนดวัตถุประสงค์ นโยบายและมาตรฐาน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศึกษา แล้วก็ตาม หรือหากบางที่ได้กำหนดไว้ในแผนงานมีก็ขาดการดำเนินการอย่างจริงจัง และให้ความสำคัญน้อยลง ส่งผลให้ ขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ ด้านความรู้ ช่องทางการเข้าถึง รวมถึงการสนับสนุนในการปฎิบัติงานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศในทุกๆด้าน<br />
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
<strong><span style="font-size: large;">แนวทางการแก้ไข</span></strong><br />
หน่วยงานทางการศึกษา โดยเฉพาะครูและบุคลากรทางดารศึกษาในสถานศึกษา ต้องร่วมกันศึกษา วางแผน นำกรอบนโยบายในระดับกระทรวง(สำนัก) นำมากำหนดวิสัยทัศน์ วางวัตถุประสงค์ นโยบายและมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของสถานศึกษาที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนการบริหาร การจัดการเรียนการสอน การพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกัน การให้บริการ รวมถึงเพิ่ม(ปรับปรุง)ช่องทางการเข้าถึง การเชื่อมโยงเครือข่าย การจัดระบบการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายที่เข้มแข็ง โดยวางขั้นตอนการพัฒนาเป็นแผนแม่บททั้ง ระยะยาว ระยะเร่งด่วน รวมถึงเร่งระดมการให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องในการจัดการเรียนการสอน กับครูผู้สอน รวมถึงผู้เรียนและบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนและต้องกระทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งทั้งระบบ<br />
<br />
นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงมีความสำคัญเป็นเครื่องมือในการบริหารงานการศึกษา ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษาต้องพัฒนานวัตกรรมและสารสนเทศ เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจในบริหารจัดการศึกษา<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s1600/leader.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_kCtNkUUpy4Ec8d4H046uaiSaSms_1r5XjmPIj-nlfyg4i2UNyhUAlw9MEtnjbrBPCctqp2VkaVhIfzAn7n4JESI1qk6XNiGWnz7ZSZutXlETIsuy6xDNg7FRK1Krbpn24YAkSG5-mAU/s320/leader.png" width="320" /></a></div>
<br />
<div>
</div>
ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลที่สำคัญที่มีบทบาท มีหน้าที่และมีความรับผิดชอบต่อการจัดการสารสนเทศ และการนำสารสนเทศมาใช้ในการจัดการศึกษา ตามลักษณะงานทั้ง 4 ด้าน ซึ่งจีราภรณ์ รักษาแก้ว (อ้างอิงใน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2540 :120) ได้ระบุหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารต่อสารสนเทศไว้ว่า ผู้บริหาร มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการวางแนวทางการพัฒนา เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศที่ต้องการ ความคุ้มค่าของสารสนเทศและความประหยัดในการผลิตหรือจัดการสารสนเทศ...Unknownnoreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-25392908790725680062012-07-05T16:28:00.001+07:002012-07-05T16:28:22.062+07:0012.1 ปัญหาการขาดแคลนนวัตกรรม สื่อ อุปกรณ์ เทคโนโลยีสารสนเทศนับเป็นปัญหาใหญ่ที่สำคัญ โดยเฉพาะสถานศึกษาขนาดเล็ก พบว่าปัจจัยสนับสนุนในการจัดการศึกษาที่ใช้องค์ประกอบทางเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมไปถึง นวัตกรรมรูปแบบต่างๆ ค่อนข้างจะมีน้อยหรือ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีเลย โดยเฉพาะโรงเรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ไม่สามารถขับเคลื่อนให้มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน<br />
<br />
ในการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา ด้านปัจจัยสนับสนุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งรวมไปถึงสื่อ อุปกรณ์ เครื่องมือ และนวัตกรรมทางการศึกษา แม้ว่าพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จะมุ่งเน้นความเสมอภาคทางการศึกษา แต่ในสภาพความเป็นจริงในสังคมประเทศไทย ยังมีอีกหลายพื้นที่ ที่สภาพการศึกษามีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด บางพื้นที่ ขาดไฟฟ้า ขาดระบบสื่อสารขั้นพื้นฐาน ทำให้เครื่องมือ อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีที่ได้ ก็ไม่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายใช้งานได้ <br />
ปัญหาการขาดแคลนนวัตกรรม สื่อ อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ พอจะสรุปได้ แยกเป็น 2 ปัญหาใหญ่ๆ คือ<br />
1. ปัญหาการขาดแคลนสื่อเนื้อหา<br />
<div>
2. ปัญหาด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9IvcOVHZpWuJSkrIaRwO6CIsIvxZ1xwAc9djqnQIFdhicihTKZ8NzAX8gZwZv2512JB7Xgc7d3tTg1N5FTxKLxIYrRWYkZ0l68iSFAfSaWQByzcrosBSLRedPsnMeTU3PWk2YJHzK8Zw/s1600/elarn_laptop.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="271" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9IvcOVHZpWuJSkrIaRwO6CIsIvxZ1xwAc9djqnQIFdhicihTKZ8NzAX8gZwZv2512JB7Xgc7d3tTg1N5FTxKLxIYrRWYkZ0l68iSFAfSaWQByzcrosBSLRedPsnMeTU3PWk2YJHzK8Zw/s320/elarn_laptop.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<strong>ปัญหาการขาดแคลนสื่อเนื้อหา</strong><br />
<ol>
<li>ขาดแคลนตัวสื่อเนื้อหา สำหรับใช้ศึกษาเรียนรู้ ในฐานะสื่อหลัก และสื่อเสริม</li>
<li>สื่อ เนื้อหา ที่มีอยู่ไม่น่าสนใจ ไม่มีส่วนเร้าที่ตรึงพฤติกรรมการเรียนรู้</li>
<li>สื่อ เนื้อหา ที่มีอยู่ ล้าสมัย เนื้อหา ไม่ตรงกับสภาพปัจจุบัน</li>
<li>สื่อ เนื้อหา ที่มีอยู่ ไม่สามารถใช้กับระบบ ของอุปกรณ์ เครื่องมือที่มีอยู่ได้ </li>
<li>สื่อ บางเนื้อหามีสื่อการสอนน้อย ไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ </li>
</ol>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXysRSAzcedmS-Gf6UcPzUV4EieJCWjFQau7AYPVlqLNb7qABh2sUKuk6lBvcjS32nCtYAMmktaZjTu8UCVjOZZhdIOtOl2xH47ouU3pxzYjuK939M3OwMOy4Hl7i_pSGye1BQ1sbLLS4/s1600/sa01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXysRSAzcedmS-Gf6UcPzUV4EieJCWjFQau7AYPVlqLNb7qABh2sUKuk6lBvcjS32nCtYAMmktaZjTu8UCVjOZZhdIOtOl2xH47ouU3pxzYjuK939M3OwMOy4Hl7i_pSGye1BQ1sbLLS4/s1600/sa01.jpg" /></a></div>
<div>
</div>
<strong>ปัญหาด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ</strong> <br />
<ol>
<li>เครื่องมือ อุปกรณ์ มีไม่เพียงพอ หรือ ไม่มี</li>
<li>ขาดปัจจัยพื้นฐานทำให้เครื่องมือ อุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานได้ เช่น ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีระบบเครือข่าย</li>
<li>เครื่องมือ อุปกรณ์ มีสภาพล้าสมัย</li>
<li>ขาดงบประมาณในการปรับปรุง ซ่อมแซม</li>
</ol>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-8470755502384953892012-07-05T16:19:00.001+07:002012-07-05T16:19:58.187+07:0011.9 รูปแบบฐานการเรียนรู้ออนไลน์ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy) งานต่างๆ จำเป็นต้องใช้ความรู้มาสร้างผลผลิตให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น การจัดการความรู้เป็นคำกว้างๆ ที่มีความหมายครอบคลุมถึง เทคนิค กลไกต่างๆ มากมาย เพื่อสนับสนุนให้การทำงานในองค์กร มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในการรวบรวมความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ที่ต่างๆ มารวมไว้ที่เดียวกัน ซึ่งช่องทางบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถตอบสนองในการเป็นเวที แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปัน นำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืน<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiCXE4TTMv2UpUEenSKUXOWYTZm9vfDzROJXN5q3JGd_UPm8g9ZcmNO3LJUCW0iH7OPXx9tHvrwSgjy1xPglsjnyVl0eFeH-l_yAw-6ZzN7Tyu7t8XVjNW4krwmE64POnJz7_fPQUYb38s/s1600/1103.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiCXE4TTMv2UpUEenSKUXOWYTZm9vfDzROJXN5q3JGd_UPm8g9ZcmNO3LJUCW0iH7OPXx9tHvrwSgjy1xPglsjnyVl0eFeH-l_yAw-6ZzN7Tyu7t8XVjNW4krwmE64POnJz7_fPQUYb38s/s1600/1103.jpg" /></a></div>
<br />
<div>
</div>
ในโลกของการศึกษาปัจจุบันนี้ เราคงจะปฎิเสธวิธีการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกกันว่าการสอนบนเว็บ คำคำนี้ เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า Web-Based Instruction (WBI) ซึ่งถือกันว่าเป็นกระบวนการที่แยกมาจากยุคคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือ CAI นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีนักการศึกษาใช้เรียก Web-Based Instruction ในอีกชื่อว่า Web-Based Learning ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีความหมายเดียวกัน หมายถึง การเรียนการสอนที่ใช้เว็บเป็นฐาน หรือ“การสอนบนเว็บ”หรือ “การสอนผ่านเว็บ” ปัจจุบัน การเรียนการสอนผ่านเว็บถูกนำมาใช้ ทั้งการการสอนในระบบโรงเรียน รวมถึงการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ครอบคลุมกระบวนการศึกษาตลอดชีวิต <br />
<br />
<div>
</div>
ในการนำเสนอสาระการเรียนรู้แบบต่างๆบนฐาน web-based นั้น ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนออนไลน์ เป็นไฟล์เรียนรู้ด้วยเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-document) หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(e-book) รูปแบบต่างๆ ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้โดยสมบูรณ์ และเหมาะสมได้นั้นจำเป็นต้องมี องค์ประกอบพื้นฐาน ของการจัดการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งองค์ประกอบดังกล่าวประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน โดยแต่ละส่วนจะต้องได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี เพราะเมื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ระบบทั้งหมดจะต้องทำงานประสานกันได้เป็นระบบอย่างลงตัว ซึ่ง <strong>ฐานการเรียนรู้ (web-based)</strong> ในปัจจุบันนี้ถือเป็นปัจจัยหลักของการจัดการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่จะเป็นส่วนสำหรับจัดวาง เผยแพร่ข้อมูลเนื้อหาบทเรียนไปสู่ ผู้เรียนรู้ได้ ซึ่งฐานการเรียนรู้นี้จะมีอยู่ 3 ลักษณะ ได้แก่<br />
<ol>
<li>ลักษณะหน้าเอกสาร web document อย่างเดียว </li>
<li>มีระบบบริหารการเรียนรู้(LMS) </li>
<li>มีระบบบริหารเนื้อหา/หลักสูตร(CMS)</li>
</ol>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4qA9wS7-GfzBq3g2YAR_wIHba1aJPILFpdBOMVRTCeq_Qq0vXh-LfKtP_v449Ix4hCmG0S02HKdsWZprqvo7im2ja7VvKS2uhfg-RxL5GJduM9ejnXSvCXsKRAMuAHo6nj9lsjLD3fhA/s1600/webpage.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj4qA9wS7-GfzBq3g2YAR_wIHba1aJPILFpdBOMVRTCeq_Qq0vXh-LfKtP_v449Ix4hCmG0S02HKdsWZprqvo7im2ja7VvKS2uhfg-RxL5GJduM9ejnXSvCXsKRAMuAHo6nj9lsjLD3fhA/s320/webpage.png" width="286" /></a></div>
<div>
<strong>ฐานการเรียนรู้ลักษณะหน้าเอกสาร web document อย่างเดียว</strong></div>
จากพัฒนาการของเอกสารไปสู่เอกสารอิเล็กทรอนิกส์นำเข้าสู่ระบบเครือข่ายการเป็นเอกสารเว็บหรือweb document ได้ ปฎิวัติรูปแบบการเรียนรู้ที่รวดเร็ว กว้างไกลด้วยคุณสมบัติต่างๆทั้งการแก้ไข ปรับแต่ง ดัดแปลง ปรับปรุง เผยแพร่ แบ่งปัน ได้ไกล และรวดเร็ว การสร้าง web document จึงเป็นรูปแบบแรกที่ผู้พัฒนาสื่อการเรียนรู้นิยมใช้มากที่สุด ภายใต้ภาษา html พื้นฐาน (ซึ่งจะมีแบบ text ล้วน หรือ text ปนภาพ หรือ text ปนมัลติมีเดียรูปแบบอื่นๆ)<br />
<div>
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigqaE_hQp34AXHAQt1J-hmeASh5JcH-xvLunF0efeaYZ9GwSzc5SYMGGFkI8BaKFagbDCWkTqy0BKBbY7uO-593fudUu-KWnyGtJ38gH1pCefWkS3uj-5Ns_ce5IoCAS71ScNmbp5Kt_s/s1600/1102.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigqaE_hQp34AXHAQt1J-hmeASh5JcH-xvLunF0efeaYZ9GwSzc5SYMGGFkI8BaKFagbDCWkTqy0BKBbY7uO-593fudUu-KWnyGtJ38gH1pCefWkS3uj-5Ns_ce5IoCAS71ScNmbp5Kt_s/s400/1102.jpg" width="308" /></a></div>
<div>
</div>
<strong>ฐานการเรียนรู้มีระบบบริหารการเรียนรู้ หรือ LMS ( Learning Management System)</strong><br />
เป็นระบบที่ใช้บริหารจัดการการเรียนรู้ผ่านเว็บประกอบด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกที่อำนวยความสะดวกให้ครูผู้สอน สามารถนำเนื้อหาและสื่อการสอนนำเข้าสู่ระบบได้โดยง่าย ซึ่งระบบจะกำหนดลำดับของเนื้อหาในบทเรียนส่งผ่านเครือข่าย ไปยังผู้เรียน ระบบจะติดตาม บันทึกผลความก้าวหน้าผู้เรียนได้อย่างละเอียด ตั้งแต่การเข้าใช้งาน การเข้าสู่เนื้อหาการเรียนรู้ สถิติเวลาเข้าใช้งาน รวมถึงมีการเก็บบันทึกข้อมูล กิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนไว้ในระบบซึ่งข้อมูลเหล่านี้ครูผู้สอนสามารถ นำข้อมูลไปวิเคราะห์ประเมินผลหลักสูตร รวมถึงสภาพของการเรียนการสอนในรายวิชานั้นๆได้ นอกจากนี้ ผู้เรียน ครูผู้สอน และผู้ดูแลระบบ ยังสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารที่ในระบบมีติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ <br />
ระบบ LMS ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยๆหลายส่วน คือ<br />
<ol>
<li>ส่วนเนื้อหาในบทเรียน (Lecture and Presentation) </li>
<li>ส่วนของการทดสอบในบทเรียน (Testing) </li>
<li>ส่วนของการพูดคุยในห้องสนทนา (Chat) </li>
<li>กระดานข่าว (Webboard) </li>
<li>ส่วนของการติดต่อผ่าน E-mal</li>
<li>ส่วนสนับสนุนการเรียนการสอน<br />- การลงทะเบียนของผู้เรียน<br />- การบันทึกคะแนนของผู้เรียน <br />- การรับ-ส่งงานของผู้เรียน <br />- การเรียกดูสถิติของการเข้าเรียน</li>
</ol>
<br />
<div>
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEio21AQe03LhSY2mVIe3242YUs4PaETsc7j2nwN8s-3go0i7oX10ip66rJZ5_dh0ei7TAwrqfT8CT6W8rJuQ39TcnwvQOGuTnzhF91dlc92H1xkdBMBG6-lD6b20kOdNsmoKG0zvwgoS1s/s1600/cms-data.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEio21AQe03LhSY2mVIe3242YUs4PaETsc7j2nwN8s-3go0i7oX10ip66rJZ5_dh0ei7TAwrqfT8CT6W8rJuQ39TcnwvQOGuTnzhF91dlc92H1xkdBMBG6-lD6b20kOdNsmoKG0zvwgoS1s/s1600/cms-data.gif" /></a></div>
<div>
</div>
<strong>ฐานการเรียนรู้มีระบบบริหารเนื้อหา/หลักสูตร หรือ CMS (Content Management System)</strong><br />
เป็นระบบที่มีหน้าที่ในการจัดการเนื้อหาหรือข้อมูลเป็นหลัก ตามลักษณะงานของเว็บไซต์นั้นๆ CMS จึงถูกออกแบบมาเพื่อช่วยประหยัดทรัพยากรในการพัฒนาและบริหารเว็บไซต์ ทั้งเรื่องของกำลังคน ระยะเวลา เพื่อช่วยลดเวลา อำนวยความสะดวกในการบริหารเว็บไซต์นั้นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ลักษณะเฉพาะจะคล้ายกับ LMS ที่ให้ผู้ดูแลระบบหรือ ครูผู้สอนนั้น สามารถจัดการเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่จะขาดส่วนของผู้เรียนรู้ ไม่มีการติดตาม ประเมินผลผู้เรียน เน้นการจัดการระบบผ่านเว็บ รูปแบบจะเน้นการจัดการนำเข้าและเผยแพร่ข้อมูลบทเรียน, การนำเสนอบทความ(Articles), เว็บไดเรคทอรี(Web directory), เผยแพร่ข่าวสารต่างๆ(News), หัวข้อข่าว(Headline), ข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจ(Informations), ถาม/ตอบปัญหา(FAQs), ห้องสนทนา(Chat), กระดานข่าว(Forums), การจัดการไฟล์ในส่วนดาวน์โหลด(Downloads), แบบสอบถาม(Polls), ข้อมูลสถิติต่างๆ(Statistics) และอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มเติม ดัดแปลง แก้ไขแล้วประยุกต์นำมาใช้งานให้เหมาะสมตามแต่รูปแบบและประเภทของเว็บไซต์นั้นๆ <br />
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
นอกจากฐานการเรียนรู้แล้ว ในการดำเนินกิจกรรมจัดการศึกษาออนไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนี้ จะมีรูปแบบการนำเสนอสาระการเรียนรู้ ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายผู้เรียน กลุ่มสาระเนื้อหา วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เลือกใช้ ในบางแห่งอาจมีลักษณะแสดงสาระข้อมูลหรือบทเรียน ที่ให้ผู้เรียนเข้าเรียนรู้โดยอิสระ ไม่ต้องการระบบสมาชิก แต่บาง website ต้องมีการลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ ต้องมีการบันทึกประวัติ หรือลงทะเบียนเรียนกันก่อนจึงจะเข้าศึกษาเนื้อหาได้ <br />
ในการจัดการศึกษาออนไลน์วัฒนาการได้ก้าวไกลไปสู่ธุรกิจทางการศึกษาออนไลน์ ที่ผู้เรียนจะต้องลงทะเบียนในการซื้อคอร์สเพื่อเข้าศึกษาเรียนรู้ ระบบจะสนับสนุนสาระการเรียนรู้ สื่อ กิจกรรมต่างๆ รวมถึงระบบครูที่ปรึกษาอย่างพร้อมมูล ติดตามการเรียนรู้ตั้งแต่แรกเข้า จนจบหลักสูตรUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-90360476181814756612012-07-05T15:36:00.001+07:002012-07-05T15:36:03.446+07:0011.8 ปัจจัยหลักในการจัดการฐานความรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรูปแบบ e-learningในการจัดฐานการเรียนรู้ออนไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรูปแบบ web-based learning หรือ e-learning ซึ่งปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นรูปแบบการศึกษาด้วยตัวเองที่มีความพร้อมและสมบูรณ์อีกวิธีการหนึ่ง แต่การจัดการศึกษา เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ และเพิ่มทางเลือกใหม่ในรูปแบบดังกล่าวให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่สามารถที่จะกระทำได้ง่าย หากองค์กรหรือสถาบันการศึกษานั้นยังขาดปัจจัยหลักที่นำมาเกื้อหนุนกลไกของ web-based learning หรือ e-learning ให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างสมบูรณ์ ปัจจัยหลักดังกล่าวอัน ได้แก่ <br />
<ol>
<li><span style="color: red;">นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการจัดการศึกษาของชาติ </span></li>
<li><span style="color: red;">วิสัยทัศน์ผู้บริหารการศึกษาทั้งในระดับเขตพื้นที่และสถานศึกษา </span></li>
<li><span style="color: red;">ความรู้ความสามารถด้านการพัฒนาสื่อและ ITของครู/อาจารย์ที่มีผลต่อการเรียนรู้ </span></li>
<li><span style="color: red;">ความพร้อมด้านอุปกรณ์หลักและเครื่องมือสนับสนุน</span></li>
<li><span style="color: red;">ความพร้อมและประสิทธิภาพที่ดีในด้านเทคโนโลยีเครือข่าย </span></li>
<li><span style="color: red;">ความพร้อมด้านระบบปฎิบัติการ โปรแกรมที่ใช้สร้าง e-learning</span></li>
<li><span style="color: red;">ความพร้อมของวิธีการบริหารและการจัดการเรียนรู้ e-learning ที่มีคุณภาพ</span></li>
<li><div style="text-align: left;">
<span style="color: red;">การสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างจริงจังและต่อเนื่อง</span><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEittqJRgWW5qpjUVZk4QiRRvYfPjaX74KaxvjYS3IRxcgA3o7Bh6A5N-e_F48bkG46atsfKGa3q04xwyWLLhswOywkbQ9zUTvWHazksVZTwtJbyfrw1KdHL3dw9ZPHq8GjAPYP4ytPjS6s/s1600/900documentworkflow2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEittqJRgWW5qpjUVZk4QiRRvYfPjaX74KaxvjYS3IRxcgA3o7Bh6A5N-e_F48bkG46atsfKGa3q04xwyWLLhswOywkbQ9zUTvWHazksVZTwtJbyfrw1KdHL3dw9ZPHq8GjAPYP4ytPjS6s/s320/900documentworkflow2.jpg" width="320" /></a></div>
</li>
</ol>
<div>
</div>
e-learning มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำมาใช้ในทางธุรกิจการศึกษาเพิ่มคุณภาพส่งเสริมให้การ พัฒนาคนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดโอกาสให้คนได้เรียนรู้มากขึ้น การใช้หลักสูตรและกระบวนการสอนที่เป็นมาตรฐาน มีวิชาหลากหลายให้เลือกและสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังสามารถเรียนได้ทุกทีทุกเวลา ในยุคปัจจุบันจะมีการใช้ทั้งในลักษณะของการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่าย เพื่อเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต หรือการใช้ในลักษณะ Stand Alone โดยมีเป้าหมายมในการค้นหาข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูล สารสนเทศ ซึ่ง E-Learning จะเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้<br />
<ol>
<li>สื่อการเรียนการสอนแบบสื่อประสม (Multimedia) <br />ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทั้งคอมพิวเตอร์และการสื่อสารได้วิวัฒนาการขยายขีดความ สามารถที่จะนำเสนอเนื้อหาทั้งภาพและเสียงไปยังผู้เรียนได้รวดเร็วมากขึ้น ทำให้การเรียนแบบ e-learning บังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่สูงกว่าแต่เดิม เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจาก นั้นยังช่วยลดความซ้ำซ้อนเมื่อเนื้อหาของวิชาบางครั้งซับซ้อน และยุ่งยาก การใช้ E-Learning จึงทำให้ผู้เรียนสามารถทบทวนได้ </li>
<li>การใช้ทรัพยากรทางการศึกษาร่วมกัน (Education Resource Sharing)<br />เพื่อแบ่งปันข้อมูลและแลกเปลี่ยนความรู้ ทางวิชาการทุกแขนง ผู้เรียนสามารถ Download หรือ สั่งพิมพ์ได้ด้วย</li>
<li>การเรียนการสอนทางไกล (Distance Learning) <br />ประเทศไทยได้มีการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ครอบคลุมไปสู่ผู้ เรียนหรือกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นกว่าอดีต ดังจะเห็นได้จาก การมีระบบการเรียนการสอนผ่านทาง ไปรษณีย์ ผ่านทางวิทยุกระจายเสียง หรือผ่านทางโทรทัศน์ หรือแม้กระทั้งการเรียนการสอนผ่าน ทางคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ระบบการเรียนการสอนในรูปแบบ E-Learning เป็นอีกทางเลือกที่ถือว่ามีส่วนในการสนับสนุน พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ที่เหมาะสำหรับ "การเรียนรู้ตลอดชีวิต"</li>
</ol>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-5680072062427044782012-07-05T15:31:00.001+07:002012-07-05T15:31:36.523+07:0011.7 การจัดการศึกษาออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตการจัดการศึกษาออนไลน์ หรือที่นักการศึกษาเรียกว่า “Web-Based Instruction” เป็นรูปแบบการสอน โดยใช้เว็บเป็นสื่อกลางในการเรียนรู้ วิธีการมีทั้งแบบใช้เว็บเป็นฐานหลัก โดยครูผู้สอน หรือ สถานศึกษา บรรจุเนื้อหาวิชาทั้งหมดวางไว้ในระบบการจัดการเรียนรู้ หรือบางแห่งใช้เว็บเป็นเครื่องมือ หรือส่วนในการเสริมการเรียนรู้ <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzTWOjXVQy0EEP4xz-KEFHnr7iWQyHdN3rsHnYk_E6UoFY4Gn2A4lTpe0QQrr2IRygSkSwE2QUZrTMTjgdvCEShajhAdfm81AwtZrChwiSlYz1YXeqszWOO_4TTmJkUcueXxKMtghyhSs/s1600/sys_diagram.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzTWOjXVQy0EEP4xz-KEFHnr7iWQyHdN3rsHnYk_E6UoFY4Gn2A4lTpe0QQrr2IRygSkSwE2QUZrTMTjgdvCEShajhAdfm81AwtZrChwiSlYz1YXeqszWOO_4TTmJkUcueXxKMtghyhSs/s1600/sys_diagram.jpg" /></a></div>
<br />
การสอนบนเว็บจึงเป็นรูปแบบของการประยุกต์วิธีการสอนทั้งในแบบชั้นเรียน หรือการสอนด้วยวิธีการอื่นๆมาผสมผสานเข้าด้วยกัน การสอนบนเว็บใช้ได้ทั้งการสอนในระบบโรงเรียน การศึกษาตามอัธยาศัย หรือการศึกษาต่อเนื่องในลักษณะการศึกษาทางไกล ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน <br />
การนำระบบการจัดการศึกษาออนไลน์ มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในกระบวนการสอนสูงสุดนั้น ครูผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจว่า รูปแบบการเรียนการสอนแบบการจัดการศึกษาออนไลน์นี้ แตกต่างจากระบบการเรียนการสอนในชั้นเรียน ที่เรียกกันว่า face-to-face อย่างไร และจำเป็นที่ต้องมีการพัฒนา ปรับปรุง วิธีการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการปรับปรุงเรื่องเนื้อหา เทคโนโลยี เทคนิคการนำเสนอ รวมถึงการวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพของระบบการจัดการศึกษาออนไลน์ในภาพรวม การนำระบบการจัดการศึกษารูปแบบออนไลน์เข้ามาใช้นั้น ต้องระลึกไว้อยู่เสมอว่า เมื่อพร้อมที่จะดำเนินการจัดการศึกษาออนไลน์ ต้องไม่ทำให้คุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนขาดคุณภาพไปจากระบบการเรียนรู้ในชั้นเรียนด้วย แม้ว่าการจัดการศึกษาออนไลน์ดูเหมือนจะในรูปแบบที่ขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน ด้วยเวลาในการศึกษาเล่าเรียนไม่ตรงกัน จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารเพื่อสร้างกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนระยะไกล หรือเพื่อปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้สอน หรือผู้เรียนอื่น โดยไม่จำเป็นต้องออนไลน์ ณ เวลาเดียวกัน โดยการใช้กระดานสนทนาอิเล็กทรอนิกส์ (webboard) หรือการใช้อีเมล์ <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1iZYASiXalmtzvo8zlsjFjTUNlmZok9pcBINTAmWM3hs-YJfaZYxg-kxnTPd_a1NMYWAjuWm9XtyhWqKCsBydaSMA9M2ZCaU2cMtKJm9uQJrKfyCuW0P42iP7jnuxMdkJ4URTycfxcr8/s1600/801technology.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1iZYASiXalmtzvo8zlsjFjTUNlmZok9pcBINTAmWM3hs-YJfaZYxg-kxnTPd_a1NMYWAjuWm9XtyhWqKCsBydaSMA9M2ZCaU2cMtKJm9uQJrKfyCuW0P42iP7jnuxMdkJ4URTycfxcr8/s320/801technology.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มีต้นทุนในการจัดการศึกษา ที่ต่ำกว่าการศึกษาในชั้นเรียน ถึงแม้ว่าเงินทุนในช่วงแรกหรือต้นทุนคงที่ (fixed cost) ของการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จะค่อนข้างสูง แต่อี-เลิร์นนิ่ง จะสามารถตอบสนองต่อผู้เรียน ได้มากกว่าการจัดการศึกษาในห้องเรียน โดยที่ผู้จัดการศึกษามีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหน่วยสุดท้าย (marginal cost) เกือบเป็นศูนย์ แม้ว่าจะมีการจัดการศึกษาให้แก่ผู้เรียนจำนวนมากขึ้นก็ตาม ทั้งนี้หากเปรียบเทียบต้นทุนทั้งหมด (total cost) การจัดการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการเรียนรู้ในชั้นเรียน ถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถเรียนรู้ ได้ทุกที่ ทุกเวลาและทุกคน (anywhere anytime anyone) และไม่ว่าจะทำการศึกษา ณ สถานที่ใด การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จะยังคงมีเนื้อหาเหมือนกันและมีคุณภาพที่เท่าเทียมกัน และยังสามารถวัดผลของการเรียนรู้ได้ดีกว่า การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทำให้โอกาสในการศึกษาของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้ประชาชนมีความรู้และทักษะที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศ ไปสู่เศรษฐกิจที่ต้องใช้ความรู้และเทคโนโลยีเข้มข้นมากขึ้นUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-64760054377822588842012-07-05T15:23:00.001+07:002012-07-05T15:23:37.129+07:0011.6 ขั้นตอนการออกแบบสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ในการออกแบบสื่อการเรียนรู้ออนไลน์นั้น มีหลากหลายรูปแบบหรือวิธีการ ซึ่งในแต่ละรูปแบบหรือวิธีการก็มีขั้นตอนที่อาจจะคล้ายกัน หรือแตกต่างกันในบางส่วน แต่ในภาพรวมนั้นไม่ได้หนีไปจากกันมานัก เราลองมาศึกษาขั้นตอนการออกแบบสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ในรูปแบบตัวอย่างต่อไปนี้กัน ซึ่งจะประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ 6 ขั้นตอน<br />
1. ขั้นตอนการเตรียมข้อมูลสาระเนื้อหา (Preparation)<br />
2. ขั้นตอนการออกแบบบทเรียน (Design web-page Instruction) <br />
3. ขั้นตอนวางกรอบเนื้อหาและเขียนผังงาน (Flowchart Lesson)<br />
4. ขั้นตอนการสร้างหน้าเอกสารเว็บ (Create Web-page)<br />
5. ขั้นตอนการเผยแพร่ทดสอบ (Publish)<br />
6. ขั้นตอนการประเมินหรือปรับปรุง (Evaluate and Revise)<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7HJ0nIXTBUt5Z6KtMoq8ry2n2Icwac3FDrLSduhpo9ymUnZ1KSA8Fy3_sBovoEpk3oK1rpTGphQt2XmfkltJ1kDqDjewBQvGz5Z0O79nDl1uS-IFicwj6bNduLgt3ZSwMpxR7zHBxY0Y/s1600/1101.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="317" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7HJ0nIXTBUt5Z6KtMoq8ry2n2Icwac3FDrLSduhpo9ymUnZ1KSA8Fy3_sBovoEpk3oK1rpTGphQt2XmfkltJ1kDqDjewBQvGz5Z0O79nDl1uS-IFicwj6bNduLgt3ZSwMpxR7zHBxY0Y/s320/1101.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div>
</div>
<strong>ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนการเตรียมข้อมูลสาระเนื้อหา (Preparation)</strong> <br />
ขั้นแรกในการออกแบบบทเรียนเป็นการเตรียมพร้อมก่อนที่จะทำการออกแบบบทเรียน ผู้ออกแบบต้องเตรียมพร้อมในเนื้อหาข้อมูลให้ชัดเจน การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลเนื้อหาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการสร้างหรือระดมความคิดในที่สุด ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญและใช้เวลามาก จะทำงานตามขั้นตอน ดังนี้ <br />
<ol>
<li><strong>กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ (Determine Goals and Objectives)</strong><div>
ใน การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของบทเรียน คือการตั้งเป้าหมายว่าผู้เรียนสามารถใช้บทเรียน เพื่อศึกษาในเรื่องใดและลักษณะใด เมื่อเรียนจบแล้วสามารถทำอะไรได้บ้าง การกำหนดเป้าหมายยังรวมถึงการเชื่อมโยงความรู้พื้นฐานของผู้เรียนด้วย เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่กำหนด </div>
</li>
<li><strong>รวบรวมข้อมูล (Collect Resources) </strong><div>
การรวบรวมข้อมูล หมายถึงการเตรียม พร้อมทางด้านของทรัพยากรสารสนเทศ (Information Resources) ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในส่วนของเนื้อหา (Materials) การพัฒนาและการออกแบบ (Instructional Development) และสื่อในการนำเสนอบทเรียน (Instructional Delivery System) </div>
</li>
<li><strong>เรียนรู้เนื้อหา (Learn Content)</strong><div>
ผู้ออกแบบบทเรียนต้องรู้และมีความเข้าใจในเนื้อหาและความรู้ด้านการออกแบบบทเรียน หรือจะทำงานเป็นทีม เพื่อให้การออกแบบและเนื้อหาจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ </div>
</li>
<li><strong>สร้างความคิด (Generate Ideas) </strong><div>
การสร้างความคิดคือการระดมสมองเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้ได้ข้อคิดเห็นต่าง ๆ อันจะนำมาซึ่งแนวคิดที่ดีและน่าสนใจที่สุด </div>
</li>
</ol>
<div>
</div>
<strong>ขั้นตอนที่ 2 ขั้นตอนการออกแบบบทเรียน (Design Instruction)</strong> <br />
ในขั้นนี้จะเป็นการทอนความคิด การวิเคราะห์งานและแนวคิดการออกแบบบทเรียนขั้นแรก การประเมินผลและการแก้ไขการออกแบบ จะทำงานดังนี้ <br />
<ol>
<li><strong>ทอนความคิด (Elimination of Ideas)</strong> <br />หลังจากการระดมสมองแล้ว ต้องนำ ความคิดทั้งหมดมาประเมินเพื่อดูข้อคิดที่น่าสนใจ การตัดความคิดที่ทำไม่ได้ออก </li>
<li><strong>วิเคราะห์งานและแนวคิด (Task and Concept Analysis )</strong> <br />การวิเคราะห์เป็น การพยายามวิเคราะห์ขั้นตอนเนื้อหาที่ผู้เรียนต้องศึกษาจนทำให้เกิดการเรียนรู้ โดยการวิเคราะห์เนื้อหาต้องทำอย่างละเอียด ส่วนใดที่ไม่เกี่ยวข้องหรือส่วนที่อาจก่อให้เกิดความสับสนก็ให้ตัดออก </li>
<li><strong>การออกแบบบทเรียน (Preliminary Lesson Description)</strong> <br />หลังจากได้มีการวิเคราะห์งานและแนวคิด ผู้สร้าง/ผู้ออกแบบต้องนำงานและแนวคิดทั้งหลายมาผสมผสาน ทำการแบ่งแยกเนื้อหาออกมาให้เป็นบทเรียนที่มีประสิทธิภาพ การออกแบบต้องจัดการให้เหมาะสมกับเนื้อหาแต่ละประเภท การจัดรูปร่างให้ออกมาอย่างไรบ้าง ถึงจะให้เกิดความน่าสนใจในการเรียน โดยการสร้างสรรค์งานหรือจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้มีความน่าสนใจ ซึ่งเนื้อาที่แสดงในแต่ละหน้า ไม่ควรให้ยาวจนเกินไป แม้ว่าหน้าเอกสารเว็บสามารถที่จะ scroll ลงมาได้ก็ตาม</li>
<li><strong>ประเมินและแก้ไขการออกแบบ (Evaluation and Revision of the Design)</strong><br />การประเมินและแก้ไขการออกแบบเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการออกแแบบทเรียนอย่างมีระบบ การประเมินต้องมีการทำอยู่เป็นระยะ ๆ ระหว่างการออกแบบ ไม่ใช่หลังจากที่ออกแบบโปรแกรมเสร็จแล้วเท่านั้น การประเมินผลรวมถึงการทดสอบผู้เรียนว่าสามารถดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ บรรลุเป้าหมายหรือไม่ การรวบรวมทรัพยากรด้านข้อมูลต่างๆให้มากขึ้น การเพิ่มเติมเนื้อหา ทั้งในส่วนของบทเรียน ส่วนอ้างอิง ส่วนเชื่อมโยงไปสู่แหล่งความรู้ในเว็บไซต์ต่างๆ นำทุกส่วนมาพิจารณาอีกครั้ง หากพบส่วนที่จะเป็นอุปสรรคก็ปรับแก้วิเคราะห์งานหรือการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</li>
</ol>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzTWOjXVQy0EEP4xz-KEFHnr7iWQyHdN3rsHnYk_E6UoFY4Gn2A4lTpe0QQrr2IRygSkSwE2QUZrTMTjgdvCEShajhAdfm81AwtZrChwiSlYz1YXeqszWOO_4TTmJkUcueXxKMtghyhSs/s1600/sys_diagram.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzTWOjXVQy0EEP4xz-KEFHnr7iWQyHdN3rsHnYk_E6UoFY4Gn2A4lTpe0QQrr2IRygSkSwE2QUZrTMTjgdvCEShajhAdfm81AwtZrChwiSlYz1YXeqszWOO_4TTmJkUcueXxKMtghyhSs/s1600/sys_diagram.jpg" /></a></div>
<br />
<div>
</div>
<strong>ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนการวางกรอบเนื้อหาและเขียนผังงาน (Flowchart Lesson)</strong> <br />
ผังงานก็คือ ส่วนโครงสร้างของสาระเนื้อหาที่กำลังจะพัฒนาซึ่งจะแสดงขั้นตอนการสร้างงาน การเขียนผังงานจะช่วยให้เข้าใจลำดับการสร้างบทเรียนที่ชัดเจนและง่ายต่อการตรวจสอบ แก้ไขได้อย่างรวดเร็วในภายหลัง การเขียนผังงานมีหลายระดับแตกต่างกันไปแล้วแต่ความละเอียดของแต่ละเนื้อหาบทเรียน นอกจากนี้ ยังสามารถนำผังงานมาพิจารณาความเหมาะสมต่อการเรียนรู้ การเข้าถึงเนื้อหา เพราะหากบทเรียนมีความลึกมาก ก็อาจจะเป็นอุปสรรคและปัญหาของการควบคุมลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ได้<br />
<br />
<div>
</div>
<strong>ขั้นตอนที่ 4 ขั้นตอนการสร้างหน้าเอกสารบทเรียน ( web document Lesson)</strong> <br />
ขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการเปลี่ยนต้นฉบับหรือโครงร่างให้เป็นหน้าเอกสารเว็บ ซึ่งในขั้นตอนนี้ผู้ออกแบบบทเรียนจะต้องรู้จักเลือกใช้โปรแกรมการเขียนเอกสารเว็บที่ถนัดและเหมาะสมกับตนเอง ซึ่งมีอยู่หลากหลาย อาทิ Adobe Dreamweaver , Namo Editor, Edit Plus นอกจากนี้ยังจะต้องมีความรู้ในการใช้โปรแกรมประเภท Image editor หรือโปรแกรมสำหรับตกแต่ภาพ โปรแกรมสร้าง animation รวมถึงต้องเข้าใจภาษา html ภาษาสคริป (Script) เป็นต้น <br />
เสน่ห์สำคัญของบทเรียนออนไลน์ ที่ไม่มีในสื่อการเรียนรู้ประเภทอื่นๆก็คือ ผู้สร้างสามารถที่จะปรับแต่ง เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม ลดทอนสาระเนื้อหาได้โดยง่าย<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgGHD9XQQL_HaISn-2CgCTFDngdh7fcJRt6bTxOdg4USIaQ16bEfmHqwiEpg9o-iFSJDWQ0kOHNBR9-g8OD0Oq6XRG0K14ZWdTKfkoPcur0AE0yduNCFapNp3KklHOkxXMB6ynRQGchW28/s1600/folder.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgGHD9XQQL_HaISn-2CgCTFDngdh7fcJRt6bTxOdg4USIaQ16bEfmHqwiEpg9o-iFSJDWQ0kOHNBR9-g8OD0Oq6XRG0K14ZWdTKfkoPcur0AE0yduNCFapNp3KklHOkxXMB6ynRQGchW28/s320/folder.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
</div>
<strong>ขั้นตอนที่ 5 ขั้นตอนการเผยแพร่ทดสอบบทเรียน ( Publish</strong>) <br />
ขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการนำเอาสาระการเรียนรู้ที่ได้สร้างขึ้น นำเข้าสู่ระบบ ซึ่งกลไกการเข้าสู่ระบบ มีหลายวิธีการ ได้ทั้งการ upload ผ่านโปรแกรมประเภท file transfer ต่างๆ หรือ ผ่านระบบของ web-based learning ที่ได้ออกแบบไว้<br />
<br />
<div>
</div>
<strong>ขั้นตอนที่ 6 ขั้นตอนการประเมินหรือแก้ไขบทเรียน(Evaluate and Revise)</strong><br />
ในช่วงสุดท้าย บทเรียนและเอกสารประกอบทั้งหมด ควรที่จะได้รับการประเมิน โดยเฉพาะการประเมินในส่วนของการนำเสนอและการทำงานของบทเรียน ในช่วงการนำเสนอนั้นผู้ที่ควรจะทำการนำเสนอก็คือผู้ที่มีประสบการณ์ในการออกแบบมาก่อน ในการประเมินการทำงานของบทเรียนนั้น ผู้ออกแบบควรที่จะทำการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน ในขณะที่ใช้บทเรียนหรือสัมภาษณ์ผู้เรียนหลังการใช้บทเรียน โดยผู้เรียนจะต้องมาจากผู้เรียนกลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนนี้อาจครอบคลุมการทดสอบนำร่องและการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญได้Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-23298711912812406732012-07-02T06:12:00.001+07:002012-07-02T06:12:30.163+07:0011.4 องค์ประกอบสำคัญของการจัดการความรู้ในสถานศึกษา<strong>องค์ประกอบสำคัญของการจัดการความรู้ในสถานศึกษา</strong><br />
<ol>
<li><span style="color: blue;">บุคลากร(ครู)</span> <div>
หมายถึง ครู บุคลากรทางการศึกษา เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงาน ภูมิปัญญา หรือผู้ที่มีส่วนในการจัดกิจกรรมทางการศึกษา เป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อกระบวนการจัดการศึกษา </div>
</li>
<li><span style="color: blue;">ข้อมูล/ความรู้</span> <div>
หมายถึงข้อมูล ความรู้ หรือประสบการณ์ต่างๆที่อยู่ในบุคลากร(ครู) สาระเนื้อหาการเรียนรู้ (ตาม)หลักสูตร สื่อ และองค์ประกอบอื่นๆ ที่ใช้ในการเรียนรู้ ถูกนำมาบูรณาการเพื่อการเรียนรู้ และการเข้าถึง นำไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ</div>
</li>
<li><span style="color: blue;">เทคโนโลยีและการสื่อสาร </span><div>
เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน นำความรู้ไปใช้ได้อย่างง่ายและรวดเร็วขึ้น การจัดการความรู้ มีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสนับสนุนและเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง คือระบบสารสนเทศ ระบบการเรียนรู้ ระบบการสื่อสาร และระบบสนับสนุน กระบวนการ กระบวนการประกอบด้วยขั้นตอน การแสวงหา การสร้าง การเก็บและเรียกใช้ การถ่ายโอน </div>
</li>
<li><span style="color: blue;">วิธีการและกระบวนการ</span> <div>
หมายถึงวิธีการบริหารและจัดการเพื่อนำมวลความรู้ จากแหล่งความรู้นำไปเผยแพร่ในระบบอย่างมีระบบและประสิทธิภาพต่อการเรียนรู้สูงสุด</div>
</li>
</ol>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghh66yAnlbn9HNiEJce60_BomuPpKf5XWr1brQaFwsSgJ2vHYXKC4B4celFkyQmr1aaiEBXYSAhWhZn1HM6bzNcSxjAL-mD6z9NmHjeUg4aIXwFXpntNIJ_dbhWTxULNIWvqJGrpx5Wgo/s1600/paperless-classroom.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="268" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghh66yAnlbn9HNiEJce60_BomuPpKf5XWr1brQaFwsSgJ2vHYXKC4B4celFkyQmr1aaiEBXYSAhWhZn1HM6bzNcSxjAL-mD6z9NmHjeUg4aIXwFXpntNIJ_dbhWTxULNIWvqJGrpx5Wgo/s320/paperless-classroom.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: purple;"><strong>ประโยชน์ของการจัดการความรู้</strong> </span><br />
<span style="color: purple;">เป้าหมายของการจัดการความรู้ อาจกล่าวได้ว่า เป็นการจัดการเพื่อให้ ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เกี่ยวข้องที่มีส่วนในการจัดกิจกรรมทางการศึกษาได้รับความรู้ความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อให้สามารถปฏิบัติงาน การจัดกิจกรรมทางการศึกาาได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล สิ่งทำสำคัญอีกประการหนึ่งก็ คือ เป็นฐานองค์ความรู้หลักในการ พัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่โดยการถ่ายโอนความรู้ ประสบการณ์ในการทำงานของคนรุ่นเดิมไปสู่คนรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อประสิทธิภาพโดยรวมในการดำเนินกิจกรรมการศึกษาอย่างต่อเนื่อง</span><br />
<br />
<div>
<br />
<table>
<tbody>
<tr>
<td bgcolor="#ffffdf" colspan="2">ในการดำเนินการจัดการความรู้ในองค์กรและสถานศึกษา
มุ่งเน้นที่จะรวบรวมมวลสรรพสิ่งที่มีอยู่รอบตัว
อยู่ในตัวของบุคลากรที่เป็นทั้งความรู้ ทั้งประสบการณ์
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลหรือประสบการณ์ของกลุ่ม นำมาจัดสรร
จัดลำดับเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ นำไปเผยแพร่
เพื่อสร้างประโยชน์โดยรวมในภาพลักษณ์ต่างๆดังนี้ <br />
<br />
<div>
</div>
<ol>
<li>ปรับปรุงแนวคิด วิธีการในการดำเนินกิจกรรมการศึกษาให้มีความหลากหลายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</li>
<li>เพิ่มองค์ความรู้ นำไปสู่การพัฒนาสาระการเรียนรู้ ให้กับระบบการเรียนการสอน</li>
<li>สร้างนวัตกรรมและการเรียนรู้ ส่งเสริมให้แสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความรู้อย่างเต็มที่ </li>
<li>เพิ่มคุณภาพและลดช่วงเวลาในการให้พัฒนาหลักสูตร สาระการเรียนรู้</li>
<li>ลดค่าใช้จ่าย โดยตัดทอนขั้นตอนหรือกระบวนการที่ไม่สร้างคุณค่าให้กับงาน </li>
<li>ให้ความสำคัญกับความรู้ของครู บุคลากรทางการศึกษา </li>
<li>สร้างวัฒนธรรมการแบ่งปันความรู้ ทักษะประสบการณ์และข้อมูล การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน</li>
</ol>
</td></tr>
</tbody>
</table>
</div>
<div>
</div>
<table>
<tbody>
<tr>
<td bgcolor="#e8ffdf" colspan="2"><span style="color: #990000;"><span class="style2">Knowledge resides in the users and not in the collection.
</span></span>ความรู้อยู่ในผู้ใช้ ไม่ใช่อยู่ในแหล่งรวมความรู้ <br />
(Y. Maholtra)
<br />
<span class="style2"><br /><span style="color: #990000;">KM is a Journey, not a destination.
</span></span><br />
การจัดการความรู้เป็นการเดินทาง ไม่ใช่เป้าหมายปลายทาง <br />
(Warick
Holder, IBM, 20 Nov 2003, Chiangmai) <br />
<span class="style2"><br /><span style="color: #990000;">A little
knowledge that acts is worth more than much knowledge that is idle.
</span></span><br />
ความรู้เพียงเล็กน้อยเพื่อปฏิบัติมีค่ามากกว่าความรู้มหาศาลที่อยู่เฉย ๆ
<br />
(Kahlil Gibran) <br />
<br />
<span class="style2"><span style="color: #990000;">Knowledge is a key asset, but it
is often tacit and private.</span></span> <br />
ความรู้เป็นสินทรัพย์สำคัญ
แต่บ่อยครั้งความรู้เป็นสิ่งฝังลึกและเป็นสินทรัพย์ส่วนบุคคล <br />
<br />
<span style="color: #990000;"><span class="style2">Knowledge is not what you know, but is what you do.
</span></span>ความรู้ไม่ใช่เพียงการรู้ แต่เป็นการกระทำ <br />
<br />
<span style="color: #990000;"><span class="style2">Successful knowledge transfer involes neither computers nor
documents but rather interactions between people.
</span></span>การถ่ายทอดความรู้สำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือเอกสาร
แต่เป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน <br />
(Mason & Mitroff, 1973)
<br />
<br />
<span style="color: #990000;"><span class="style2">Shift from error avoidance to error detection and
correction </span></span>จงเปลี่ยนจากการหลีกเลี่ยงความผิดพลาด
ไปสู่การค้นหาความผิดพลาดและแก้ไข <br />
<br />
อ้างอิง : <a href="http://www.dopa.go.th/" target="_blank">กรมการปกครอง</a></td></tr>
<tr>
<td colspan="2"></td></tr>
</tbody>
</table>
<div>
</div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-33902779793765798412012-07-02T06:09:00.001+07:002012-07-02T06:09:09.824+07:0011.5 หลักการออกแบบสื่อเพื่อการเรียนรู้<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6TADzDD3V9vubYs6NcDrshHm4vxBX72XJmIeiL-qA-RkBfG7wY-CjUIkvNSvEkpljYiRatyCFQVQmf2bDYjolN9b2QAEJiWJp8d-dXXN3HQEJ2bCvW__06GsWl-L45mMaPFJMpbabtZ4/s1600/51001.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6TADzDD3V9vubYs6NcDrshHm4vxBX72XJmIeiL-qA-RkBfG7wY-CjUIkvNSvEkpljYiRatyCFQVQmf2bDYjolN9b2QAEJiWJp8d-dXXN3HQEJ2bCvW__06GsWl-L45mMaPFJMpbabtZ4/s1600/51001.jpg" /></a>ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy – KBE) งานต่างๆ จำเป็นต้องใช้ความรู้มาสร้างผลผลิตให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น การจัดการความรู้เป็นคำกว้างๆ ที่มีความหมายครอบคลุมถึง เทคนิค กลไกต่างๆ มากมาย เพื่อสนับสนุนให้การทำงานในองค์กร มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในการรวบรวมความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ที่ต่างๆ มารวมไว้ที่เดียวกัน ซึ่งช่องทางบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถตอบสนองในการเป็นเวที แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปัน นำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืน<br />
<br />
<br />
<br />
ก่อนการออกแบบสื่อเพื่อการเรียนรู้ในแต่ละประเภท ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ และเงื่อนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของสื่อ วิธีการนำไปใช้ จนถึงกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้งาน ดังนั้น ในการออกแบบจำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจหลักการรวมถึงขั้นตอนในการออกแบบ เพื่อนำมาประยุกต์เป็นแนวทางในการปฏิบัติและลงมือสร้างสาระการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อให้ได้สื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมต่อกระบวนการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง<br />
หลักการออกแบบสื่อเพื่อการเรียนรู้ประกอบด้วย 9 ขั้นตอน ดังนี้ <br />
ขั้นตอนที่ 1 เร้าความสนใจ (Gain Attention) <br />
ขั้นตอนที่ 2 บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objectives) <br />
ขั้นตอนที่ 3 ทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge) <br />
ขั้นตอนที่ 4 การเสนอเนื้อหา (Present New Information) <br />
ขั้นตอนที่ 5 ชี้แนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning) <br />
ขั้นตอนที่ 6 กระตุ้นการตอบสนอง (Elicit Responses) <br />
ขั้นตอนที่ 7 ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) <br />
ขั้นตอนที่ 8 ทดสอบความรู้ (Access Performance) <br />
ขั้นตอนที่ 9 การจำและนำไปใช้ (Promote Retention and Transfer) <br />
<div>
</div>
<span style="color: #274e13;"><strong>1. เร้าความสนใจ (Gain Attention)</strong> </span><br />
<span style="color: #274e13;">สื่อการเรียนรู้ ต้องมีลักษณะที่เร้าความสนใจและดึงดูดความสนใจของผู้เรียน เพื่อเป็นการกระตุ้นและเกิดแรงจูงใจให้ผู้เรียนมีความต้องการที่จะเรียน ผู้ออกแบบจึงต้องกำหนดสิ่งที่จะดึงดูดความสนใจ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมและเป้าหมายตามที่ต้องการ ส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยหน้านำเรื่อง ซึ่งควรมีรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหวหรือสีสันต่าง ๆ เพื่อให้น่าสนใจ ซึ่งก็ต้องเกี่ยวข้องกับบทเรียนด้วย คือการแสดงชื่อของบทเรียน ชื่อผู้สร้างบทเรียน การแนะนำเรื่องหรือการแนะนำเนื้อหาของบทเรียน สิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อเร้าความสนใจของผู้เรียน มีดังนี้ </span><br />
<ol>
<li><span style="color: #274e13;">ใช้กราฟิกเกี่ยวข้องกับส่วนเนื้อหา ควรมีขนาดใหญ่ ชัดเจน ไม่ซับซ้อน</span></li>
<li><span style="color: #274e13;">ใช้ภาพเคลื่อนไหว (Animation) หรือเทคนิคอื่นๆ เพื่อแสดงการเคลื่อนไหวที่ควรสั้นและง่าย </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">ควรใช้สีเข้าช่วยโดยเฉพาะสีเขียว น้ำเงินหรือสีเข้มอื่น ๆ ที่ตัดกับพื้นชัดเจน </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">ใช้เสียงให้สอดคล้องกับกราฟิก </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">กราฟิกควรจะใช้เทคนิคที่แสดงผลได้อย่างรวดเร็ว </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">กราฟิกที่ใช้ต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน</span></li>
</ol>
<br />
<strong>2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objectives)</strong> <br />
การบอกวัตถุประสงค์แก่ผู้เรียน เพื่อเป็นการให้ผู้เรียนได้ทราบถึงเป้าหมายในการเรียนหรือสิ่งที่ผู้เรียนสามารถทำได้หลังจากที่เรียนจบบทเรียน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นจุดประสงค์กว้าง ๆ จนถึงจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม การบอกจุดประสงค์จะทำให้ผู้เรียนทำความเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น สิ่งที่ต้องพิจารณาในการบอกวัตถุประสงค์ มีดังนี้ <br />
<ol>
<li>ใช้คำสั้น ๆ และเข้าใจได้ง่าย </li>
<li>หลีกเลี่ยงคำที่ยังไม่เป็นที่รู้จักและเป็นที่เข้าใจ โดยทั่วไป </li>
<li>ไม่ควรกำหนดวัตถุประสงค์หลายข้อเกินไปในเนื้อหาแต่ละส่วน </li>
<li>ผู้เรียนควรมีโอกาสที่จะทราบว่าหลังจบบทเรียนเขาสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง </li>
<li>หากบทเรียนนั้นยังมีบทเรียนย่อย ๆ ควรบอกจุดประสงค์กว้าง ๆ และบอกจุดประสงค์เฉพาะส่วนของบทเรียนย่อย </li>
</ol>
<br />
<strong><span style="color: #274e13;">3. ทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge)</span></strong><br />
<span style="color: #274e13;">ลักษณะของการทวนความรู้เดิมของผู้เรียน เป็นการทบทวนหรือการเชื่อมโยงระหว่างความรู้เดิม เพื่อเชื่อมกับความรู้ใหม่ ซึ่งผู้เรียนจะมีพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกันออกไป การรับรู้สิ่งใหม่ ก็ควรจะมีการประเมินความรู้เดิม คือการทดสอบก่อนการเรียน และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการระลึกความรู้เดิมเพื่อเตรียมพร้อมในการเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ ซึ่งการทดสอบจะทำให้ผู้เรียนได้รู้ตัวเองและกลับไปทบทวนในสิ่งที่เกี่ยวข้อง สำหรับคนที่รู้ในเนื้อหาบทเรียนดีแล้วอาจข้ามบทเรียนไปยังเนื้อหาอื่นๆ ต่อไป การจะทำแบบทดสอบก่อนเรียนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบทเรียนเพื่อให้เกิดความเหมาะสม สิ่งที่จะต้องพิจารณาในการทบทวนความรู้เดิม มีดังนี้ </span><br />
<ol>
<li><span style="color: #274e13;">ไม่ควรคาดเดาเอาว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานก่อนแล้วจึงมาศึกษาเนื้อหาใหม่ ควรมีการทดสอบหรือให้ความรู้เพื่อเป็นการทบทวนให้พร้อมที่จะรับความรู้ใหม่</span></li>
<li><span style="color: #274e13;">การทดสอบหรือทบทวนควรให้กระชับและตรงตามวัตถุประสงค์ </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนออกจากแบบทดสอบหรือเนื้อหาใหม่เพื่อไปทบทวนได้ตลอดเวลา </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">หากไม่มีการทดสอบ ควรมีการกระตุ้นให้ผู้เรียนกลับไปทบทวนหรือศึกษาในสิ่งที่เกี่ยวข้อง</span> </li>
</ol>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhJpvJ0m3ipNoXXiXIZhcIU2tawVs6b1xgP-bbwPjPxvrs-LrCZCxIP8fIJXa0Ea7Dq9wwrz22t3ONv1KcrO4gHB86GU9anJ9o3J-A0z2z-0NtVtLerPwIFggvhBotxn9Osb9Y241msPE/s1600/presentation-skills.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhJpvJ0m3ipNoXXiXIZhcIU2tawVs6b1xgP-bbwPjPxvrs-LrCZCxIP8fIJXa0Ea7Dq9wwrz22t3ONv1KcrO4gHB86GU9anJ9o3J-A0z2z-0NtVtLerPwIFggvhBotxn9Osb9Y241msPE/s400/presentation-skills.jpg" width="400" /></a></div>
<div>
</div>
<strong>4. การเสนอเนื้อหา (Present New Information)</strong> <br />
การเสนอเนื้อหาใหม่เป็นการนำเสนอเนื้อหาโดยใช้ตัวกระตุ้นที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเรียนการสอนเพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รูปแบบการนำเสนอมีหลายลักษณะ ได้แก่ การใช้ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟ ตารางข้อมูล กราฟิก ตลอดจนภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการใช้สื่อหลายรูปแบบที่เรียกว่าสื่อประสม เป็นการเร้าความสนใจของผู้เรียน สิ่งที่จะต้องพิจารณาในการนำเสนอเนื้อหาใหม่ มีดังนี้ <br />
<ol>
<li>ใช้ภาพนิ่งประกอบการเสนอเนื้อหา โดยเฉพาะส่วนเนื้อหาที่สำคัญ </li>
<li>พยายามใช้ภาพเคลื่อนไหวในเนื้อหาที่ยาก และที่มีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับใช้แผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ สัญลักษณ์หรือภาพเปรียบเทียบประกอบเนื้อหา </li>
<li>ในเนื้อหาที่ยากและซับซ้อนให้เน้นข้อความเป็นสำคัญ ซึ่งอาจเป็นการตีกรอบ ขีดเส้นใต้ การกระพริบ การทำสีให้เด่น </li>
<li>ไม่ควรใช้กราฟิกที่เข้าใจยากหรือไม่เกี่ยวกับเนื้อหา </li>
<li>จัดรูปแบบของคำ ข้อความให้น่าอ่าน เนื้อหาที่ยาวให้จัดกลุ่ม แบ่งตอน </li>
</ol>
<span style="color: #274e13;"><strong>5. ชี้แนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)</strong> </span><br />
<span style="color: #274e13;">การชี้แนวทางการเรียนรู้ เป็นการใช้ในชั้นเรียนตามปกติ ซึ่งผู้สอนจะยกตัวอย่างหรือตั้งคำถามชี้แนะแบบกว้าง ๆ ให้แคบลง เพื่อให้ผู้เรียนวิเคราะห์เพื่อค้นหาคำตอบ สำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรต้องใช้การสร้างสรรค์เทคนิคเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบด้วยตนเอง การจัดกิจกรรมที่เหมาะสม เพื่อเป็นตัวชี้แนวทาง สิ่งที่จะต้องพิจารณาในการชี้แนวทางการเรียนรู้ มีดังนี้ </span><br />
<ol>
<li><span style="color: #274e13;">แสดงให้ผู้เรียนได้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเนื้อหาและช่วยให้เห็นสิ่งย่อยนั้นมีความสัมพันธ์กับสิ่งใหม่อย่างไร </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่งใหม่กับสิ่งที่ผู้เรียนมีความรู้หรือประสบการณ์มาแล้ว </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">พยายามให้ตัวอย่างที่แตกต่างกันออกไป เพื่อช่วยอธิบายความคิดใหม่ให้ชัดเจนขึ้น </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">การเสนอเนื้อหาที่ยาก ควรให้เห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม ถ้าเนื้อหาไม่ยาก ให้เสนอตัวอย่างจากนามธรรมไปสู่รูปธรรม </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดถึงความรู้และประสบการณ์เดิม</span> </li>
</ol>
<strong>6. กระตุ้นการตอบสนอง (Elicit Responses)</strong> <br />
การกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองจากผู้เรียน เมื่อผู้เรียนได้รับการชี้แนวทางการเรียนรู้แล้ว ต้องมีการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองโดยกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการคิดและ ปฏิบัติเชิงโต้ตอบ เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ในการเรียน การกระตุ้นต้องจัดกิจกรรมให้เหมาะสม สิ่งที่ต้องพิจารณาในการกระตุ้นการตอบสนอง มีดังนี้ <br />
<ol>
<li>พยายามให้ผู้เรียนได้ตอบสนองด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งตลอดการเรียน </li>
<li>ควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสพิมพ์คำตอบหรือข้อความเพื่อเร้าความสนใจ แต่ก็ไม่ควรจะยาวเกินไป</li>
<li>ถามคำถามเป็นช่วง ๆ ตามความเหมาะสมของเนื้อหา เพื่อเร้าความคิดและจินตนาการของผู้เรียน </li>
<li>หลีกเลี่ยงการตอบสนองซ้ำ ๆ หลายครั้งเมื่อทำผิด ควรมีการเปลี่ยนกิจกรรมอย่างอื่นต่อไป </li>
<li>ควรแสดงการตอบสนองของผู้เรียนบนเฟรมเดียวกันกับคำถาม รวมทั้งการแสดงคำตอบ </li>
</ol>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG6W_5DBhAlglxMss4toRHf0-B9QFy1N-rosk4FOVCgakw4INYRs1aJ-V0AZz86V6N8yU32aNIqYqYw10mperzyrfLAlFi7db7n2AXmVXDm_-RiacuRhORv7a9euL_U4YSV_T1-_GFQvk/s1600/feedback.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="151" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG6W_5DBhAlglxMss4toRHf0-B9QFy1N-rosk4FOVCgakw4INYRs1aJ-V0AZz86V6N8yU32aNIqYqYw10mperzyrfLAlFi7db7n2AXmVXDm_-RiacuRhORv7a9euL_U4YSV_T1-_GFQvk/s320/feedback.png" width="320" /></a></div>
<span style="color: #274e13;"><strong>7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback)</strong> </span><br />
<span style="color: #274e13;">หลังจากที่ผู้เรียนได้รับการทดสอบความเข้าใจของตนในเนื้อหารวมทั้งการกระตุ้นการตอบสนองแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ข้อมูลย้อนกลับหรือการให้ผลกลับไปยังผู้เรียนเกี่ยวกับความถูกต้อง การให้ผลย้อนกลับถือเป็นการเสริมแรงอย่างหนึ่ง การให้ข้อมูลย้อนกลับสามารถแบ่งขั้นตอนได้เป็น 4 ประเภทตามลักษณะที่ปรากฏได้ดังนี้ </span><br />
<ol>
<li><span style="color: #274e13;">แบบไม่เคลื่อนไหว หมายถึง การเสริมแรงด้วยการแสดงคำ หรือข้อความ บอกความ ถูก หรือผิด และรวมถึงการเฉลย </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">แบบเคลื่อนไหว หมายถึงการเสริมแรงด้วยการแสดงกราฟิก เช่น ภาพหน้ายิ้ม หน้าเสียใจ หรือมีข้อความประกอบให้ชัดเจน </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">แบบโต้ตอบ หมายถึง การเสริมแรงด้วยการให้ผู้เรียนได้มีกิจกรรมเชิงโต้ตอบกับบทเรียน เป็นกิจกรรมที่จัดเสริมหรือเพื่อเกิดการกระตุ้นแก่ผู้เรียน เช่น เกมส์ </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">แบบทำเครื่องหมาย หมายถึง การทำเครื่องหมายบนคำตอบของผู้เรียนเมื่อมีการตอบคำถาม ซึ่งอยู่ในรูปของวงกลม ขีดเส้นใต้ หรือใช้สีที่แตกต่าง </span><div>
<span style="color: #274e13;"> </span></div>
<div>
<span style="color: #274e13;">สิ่งที่ต้องพิจารณาในการให้ข้อมูลย้อนกลับ มีดังนี้ </span></div>
<div>
<span style="color: #274e13;">1) ให้มีการแสดงย้อนกลับทันทีหลังจากผู้เรียนโต้ตอบ </span></div>
<div>
<span style="color: #274e13;">2) ถ้าใช้ภาพย้อนกลับ ควรเป็นภาพที่ง่าย เกี่ยวข้องกับเนื้อหา</span></div>
<div>
<span style="color: #274e13;">3) บอกให้ผู้เรียนทราบว่า ถูก หรือผิด โดยแสดงในเฟรมเดียวกัน</span></div>
<div>
<span style="color: #274e13;">4) ควรมีการสุ่มการ Feedback เพื่อเร้าความสนใจ </span></div>
<div>
<span style="color: #274e13;">5) มีการเฉลยคำตอบหรือการอธิบายเพิ่มเติม</span></div>
</li>
</ol>
<strong>8. ทดสอบความรู้ (Access Performance)</strong> <br />
การทดสอบความรู้หลังเรียน เพื่อเป็นการประเมินผลว่าผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ได้ตามเป้าหมายหรือไม่อย่างไร การทดสอบอาจทำหลังจากผู้เรียนได้เรียนจบวัตถุประสงค์หนึ่ง หรือหลังจากเรียนจบทั้งบทเรียนก็ได้ กำหนดเกณฑ์ในการผ่านให้ผู้เรียนได้ทราบ ผลจากการทดสอบจะทำให้ทราบว่าผู้เรียน ควรจะเรียนเนื้อหาบทเรียนใหม่หรือว่าควรต้องกลับไปทบทวน สิ่งที่ต้องพิจารณาในการออกแบบทดสอบหลังบทเรียน มีดังนี้ <br />
<ol>
<li>ต้องแน่ใจว่าสิ่งที่ต้องการวัดนั้นตรงกับวัตถุประสงค์ </li>
<li>ข้อทดสอบ คำตอบและ Feedback อยู่ในเฟรมเดียวกัน </li>
<li>หลีกเลี่ยงการให้พิมพ์คำตอบที่ยาวเกินไป </li>
<li>ให้ผู้เรียนตอบครั้งเดียวในแต่ละคำถาม</li>
<li>อธิบายให้ผู้เรียนทราบว่าควรจะตอบด้วยวิธีใด</li>
<li>ควรมีรูปภาพประกอบด้วย นอกจากข้อความ </li>
<li>คำนึงถึงความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของแบบทดสอบด้วย</li>
</ol>
<span style="color: #274e13;"><strong>9. การจำและนำไปใช้ (Promote Retention and Transfer)</strong> </span><br />
<span style="color: #274e13;">สิ่งสุดท้ายสำหรับการสอน การจำและนำไปใช้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีความคงทนในการจำข้อมูลความรู้ ต้องทำให้ผู้เรียนตระหนักว่าข้อมูลความรู้ใหม่ที่ได้เรียนรู้ไปนั้นมีความสัมพันธ์กับความรู้เดิม หรือประสบการณ์เดิม โดยการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ รวมทั้งการนำไปใช้กับสถานการณ์ สิ่งที่ควรพิจารณาในการจำและนำไปใช้ มีดังนี้ </span><br />
<ol>
<li><span style="color: #274e13;">ทบทวนแนวคิดที่สำคัญและเนื้อหาที่เป็นการสรุป </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">สรุปให้ผู้เรียนได้ทราบว่าความรู้ใหม่มีความสัมพันธ์กับความรู้เดิมหรือประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างไร </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">เสนอแนะเนื้อหาที่เป็นความรู้ใหม่ซึ่งจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ </span></li>
<li><span style="color: #274e13;">บอกแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาให้กับผู้เรียน</span></li>
</ol>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUWBBpztPLL8VJ5iQ0aq-Pq0SJdmoQWdihOuQou_Scn9rP_RIcgWggz96VwB0hj6wJURJPIzrb9vY1fXK_vdJnDyD4e-edTWffyviAYQC8NGCmDhjRyiPO9_2HRjg2huUutizCFgYJ6XQ/s1600/File-transfer-feature.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="231" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUWBBpztPLL8VJ5iQ0aq-Pq0SJdmoQWdihOuQou_Scn9rP_RIcgWggz96VwB0hj6wJURJPIzrb9vY1fXK_vdJnDyD4e-edTWffyviAYQC8NGCmDhjRyiPO9_2HRjg2huUutizCFgYJ6XQ/s400/File-transfer-feature.jpg" width="400" /></a></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-46106977294967866442012-06-25T05:00:00.001+07:002012-06-25T05:11:52.690+07:0011.3 กรอบแนวคิดอย่างง่ายในการจัดการความรู้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjo6jxac-3TG9FDXJO9E3YsP1MKklF2Iey1TtJ0M_XGaEBwp8_Dl3igHOY4Yy3o9IzvQ5kFvMJdEHHV6bhFm9uHyYoosKSuwjW15cgMbUPYARKjxz1PFYQcX2Smg6Nr3mxyK1u_DkC0so/s1600/Fishbone_Diagram.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjo6jxac-3TG9FDXJO9E3YsP1MKklF2Iey1TtJ0M_XGaEBwp8_Dl3igHOY4Yy3o9IzvQ5kFvMJdEHHV6bhFm9uHyYoosKSuwjW15cgMbUPYARKjxz1PFYQcX2Smg6Nr3mxyK1u_DkC0so/s1600/Fishbone_Diagram.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
กรอบแนวคิดอย่างง่ายในการจัดการความรู้ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายก็คือ แผนผังก้างปลา (Fish Bone Diagram) หรือ แผนผังอิชิคะวะ (Ishikawa diagram) ซึ่งแผนผังก้างปลาเป็นแผนผังที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา (Problem) กับสาเหตุทั้งหมดที่เป็นไปได้ที่อาจก่อให้เกิดปัญหานั้น (Possible Cause)จีงมีผู้เรียกแผนผังกางปลานี้ว่า แผนผังสาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (JIS) ได้นิยามความหมายของผังก้างปลานี้ว่า " เป็นแผนผังที่ใช้แสดงความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบระหว่างสาเหตุหลายๆ สาเหตุที่เป็นไปได้ที่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาหนึ่งปัญหา "<br />
<span style="font-size: x-small;">หมายเหตุ แผนผังนี้พัฒนาครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1943 โดย ศาสตราจารย์คาโอรุ อิชิกาว่า แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว</span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0p78EBLcK9Hp8ZK0esCE-dFBOJbKAidkbOPDaVfNVIhLfRkHBmaxZqrcEjFJd2c1L5Ea7DqbBPobvOLVo5iu6s28_opXJ5ucvoAj4lCTEcZxQspvUum-KZSbtPwuKyoXaXRKwUBM48Lo/s1600/52002.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0p78EBLcK9Hp8ZK0esCE-dFBOJbKAidkbOPDaVfNVIhLfRkHBmaxZqrcEjFJd2c1L5Ea7DqbBPobvOLVo5iu6s28_opXJ5ucvoAj4lCTEcZxQspvUum-KZSbtPwuKyoXaXRKwUBM48Lo/s1600/52002.jpg" /></a></div>
<br />
<div style="text-align: center;">
โครงสร้างของแผนผังสาเหตุและผล</div>
<br />
<div>
</div>
รูปแบบของการจัดการความรู้มีการพัฒนาแพร่หลายไปในหลายองค์กร ทั้งภาครัฐ และเอกชน เกิดรูปแบบที่หลากหลาย แต่ก็ อยู่ภายใต้พื้นฐาน การหลอมรวมมวลความรู้มาใช้ร่วมกัน ซึ่งในเรื่องดังกล่าวมี นักวิชาการได้ให้แนวคิดของการจัดการความรู้ไว้แนวทางหนึ่งว่า ถ้าจะจัดการความรู้อย่างเป็นระบบนั้น จะต้องมีองค์ประกอบหลักหรือ KM elements อยู่ 3 ด้าน ได้แก่ <br />
<ol>
<li>ทรัพยกรด้านการจัดการความรู้ </li>
<li>กิจกรรมการจัดการความรู้ </li>
<li>อิทธิพลของการจัดการความรู้ </li>
</ol>
แต่สิ่งสำคัญในการสร้างแผนผังก้างปลา ก็คือ ต้องทำเป็นทีม เป็นกลุ่ม โดยใช้ขั้นตอน 6 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ <br />
<ol>
<li>กำหนดประโยคปัญหาที่หัวปลา </li>
<li>กำหนดกลุ่มปัจจัยที่จะทำให้เกิดปัญหานั้นๆ </li>
<li>ระดมสมองเพื่อหาสาเหตุในแต่ละปัจจัย </li>
<li>หาสาเหตุหลักของปัญหา </li>
<li>จัดลำดับความสำคัญของสาเหตุ </li>
<li>ใช้แนวทางการปรับปรุงที่จำเป็น</li>
</ol>
<strong>การถ่ายทอดความรู้</strong><br />
การถ่ายทอดความรู้ อันเป็นส่วนประกอบของการจัดการองค์ความรู้ ถูกประพฤติปฏิบัติกันมานานแล้ว ตัวอย่างรูปแบบการถ่ายทอดความรู้ เช่น การอภิปรายของเพื่อนร่วมงานในระหว่างการปฏิบัติงาน, การอบรมพนักงานใหม่อย่างเป็นทางการ, ห้องสมุดขององค์กร, โปรแกรมการฝึกสอนทางอาชีพและการเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งรูปแบบการถ่ายทอดความรู้มีการพัฒนารูปแบบ โดยอาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่กระจายอย่างกว้างขวางในศตวรรษที่ 20 ก่อให้เกิดเทคโนโลยีฐานความรู้, ระบบผู้เชี่ยวชาญและคลังความรู้ ซึ่งทำให้กระบวนการถ่ายทอดความรู้ง่ายมากขึ้น (จากวิกิพีเดีย)<br />
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
<strong>กระบวนการจัดการความรู้</strong> <br />
กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิดพัฒนาการของความรู้ หรือการจัดการความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร มีทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ<br />
<ol>
<li>การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification) <div>
บุคคลควรต้องรู้ว่าต้องการความรู้อะไรในการทำงาน และต้องดูว่าเรามีความรู้นั้นแล้วหรือยัง ควรมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ </div>
</li>
<li>การสร้างและการแสวงหาความรู้ ( Knowledge Creation and Acquistion )<div>
บุคคลและองค์กรต้องพยายามหาความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ไปทั่วทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่อยู่นิ่ง ๆ รอให้ความรู้เดินทางมาหา </div>
</li>
<li>การจัดเก็บความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge ownledge Organization) <div>
เป็นการแบ่งชนิดและประเภทของความรู้ จัดทำระบบให้ง่ายและสะดวกต่อการค้นหาและใช้งาน </div>
</li>
<li>การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement)<div>
เป็นการจัดทำรูปแบบและภาษาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งองค์กร มีการเรียบเรียงปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยและตรงความต้องการ </div>
</li>
<li>การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access) <div>
ความสามารถในการเข้าถึงความรู้อย่างรวดเร็ว ในเวลาที่ต้องการ </div>
</li>
<li>การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing)<div>
การจัดทำเอกสาร การจัดทำฐานความรู้ ชุมชนนักปฏิบัติ </div>
</li>
<li>การเรียนรู้ (Learning)<div>
เป็นการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ การแก้ปัญหาและปรับปรุงองค์กรช่วยให้องค์กรดีขึ้น</div>
</li>
</ol>
การจัดการความรู้ประกอบด้วย กระบวนการหลัก ๆ ได้แก่ การค้นหาความรู้ การสร้างและแสวงหา ความรู้ใหม่ การจัดความรู้ให้เป็นระบบ การประมวลผลและกลั่นกรองความรู้ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ สุดท้ายคือ การเรียนรู้ร่วมกัน และเพื่อให้มีการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร เครื่องมือหลากหลายประเภทถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ<br />
(1) เครื่องมือที่ช่วยในการ<strong>เข้าถึง</strong> ความรู้ ซึ่งเหมาะสำหรับความรู้ประเภท Explicit <br />
(2) เครื่องมือที่ช่วยในการ<strong>ถ่ายทอด</strong> ความรู้ ซึ่งเหมาะสำหรับความรู้ประเภท Tacit ซึ่งต้องอาศัยการถ่ายทอด โดยปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นหลัก ในบรรดาเครื่องมือดังกล่าวที่มีผู้นิยมใช้กันมากประเภทหนึ่งคือ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ หรือชุมชน นักปฏิบัติ (Community of Practice : CoP) : <a href="http://www.dopa.go.th/" target="_blank">กรมการปกครอง</a><br />
<table>
<tbody>
<tr>
<td colspan="2"><br />
<div>
</div>
</td></tr>
<tr>
<td align="center" bgcolor="#d1fae7" colspan="2"><div>
</div>
<table border="0" cellspacing="2">
<tbody>
<tr>
<td><strong>กระบวนการจัดการความรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต</strong>
..<br />
<div>
จากหลักการของกระบวนการจัดการความรู้ เราสามารถนำแนวทาง
กระบวนการนำมาปรับใช้เข้าสู่กระบวนการจัดการความรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้ ใน
2 ส่วน คือ</div>
<div>
1. ส่วนของ(กลุ่ม)ผู้จัดการศึกษาเรียนรู้</div>
<div>
2.
ส่วนของ(กลุ่ม)ผู้เรียนรู้</div>
<div>
</div>
<div>
<strong>1.
ส่วนของ(กลุ่ม)ผู้จัดการศึกษาเรียนรู้</strong></div>
<div>
นับเป็นส่วนแรกของการสร้างฐานการเรียนรู้
เป็นส่วนที่ต้องระดมความรู้ แนวคิด วิธีการถ่ายทอด
ที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ซึ่งผู้ร่วมดำเนินการต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
และปัจจัยการใช้งานการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ที่สำคัญต้องเป็นผู้รู้และเข้าใจกระบวนการจัดการศึกษาออนไลน์ด้วย
ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้</div>
<div>
1.1 การรวบรวมสาระเนื้อหา
เพื่อจัดทำบทเรียนออนไลน์ตามโครงสร้างหลักสูตร</div>
<div>
1.2 จัดลำดับเนื้อหา
กลยุทธ์ในการถ่ายทอด การสร้างเส้นทางเพื่อการเข้าถึงองค์ความรู้</div>
<div>
1.3
การพิจารณาใช้สื่อประกอบบนหน้าเอกสารเว็บ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้</div>
<div>
1.4 การจัดทำ
web document และการกำหนด interaction ในหน้าบทเรียน</div>
<div>
1.5 การตรวจสอบ links และ
response ของกระบวนการเรียนการสอน</div>
<div>
1.6
การชี้ช่องทางการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม</div>
<div>
</div>
<div>
<strong>2.
ส่วนของ(กลุ่ม)ผู้เรียนรู้</strong></div>
<div>
นับเป็นส่วนสำคัญของการศึกษาบนฐานการเรียนรู้ออนไลน์
แม้ว่าผู้เรียน ต้องดำเนินการศึกษา เรียนรู้ด้วยตนเองก็ตาม แต่
กระบวนการเรียนรู้จริงๆ ต้องมีการติดต่อสอบถามกับครุผู้สอน
หรือการแก้ไขปัญหาระบบกับผู้ดูแลระบบ สิ่งที่จำเป็นที่สุด ก็คือระบบสื่อสาร
โดยเฉพาะ หากการเรียนรู้สามารถเรียนรู้กันเป็นกลุ่มได้ การแรกเปลี่ยนมุมมอง
การแสดงความคิดเห็นนับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งของโลกการศึกษาในปัยจจุบัน ดังนั้น
ระบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์ หากได้มีการวางระบบการติดต่อสื่อสารที่ใช้ร่วมกันได้
หรือมีเวทีกลางในรูปแบบของ
กระดานข่าวสารเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็จะเป็นส่วนให้การศึกษาเนื้อหานั้นๆมีสัมฤิทธิผลสูงสุดไปด้วย</div>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<div>
</div>
</td></tr>
</tbody>
</table>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-8072048000248247422012-06-24T19:33:00.000+07:002012-06-24T19:33:06.114+07:0011.2 กรอบความคิดการจัดการความรู้ (KM framework)ในสังคมแห่งความรู้ (Knowledge Society) “ความรู้” ถือว่าเป็นทรัพยากรหลักที่มีค่ายิ่งซึ่งแตกต่างจากปัจจัยการผลิตอื่นๆ เนื่องจากความรู้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสร้างขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา สภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเศรษฐกิจที่อาศัยฐานแห่งความรู้ (Knowledge-Base Economy) ความรู้ได้กลายมาเป็นแรงขับเคลื่อนที่สาคัญ ด้วยเหตุนี้ แนวความคิดและหลักการจัดการความรู้จึงมีบทบาทสาคัญยิ่งต่อองค์การในทุกระดับ<br />
<br />
<br />
กรอบความคิดการจัดการความรู้ เป็นกรอบของการปฏิบัติเพื่อการเข้าถึงการจัดการความรู้ มีวิธีคิดหลายรูปแบบ ที่น่าสนใจ คือ (Rubenstein, Liebowitz, Buchwalter & McCaw, 2001, p. 8 ) ได้แบ่งชนิดของกรอบความคิดการจัดการความรู้เป็น 3 กลุ่ม คือ <br />
(1) กรอบความคิดแบบ prescriptive <br />
(2) กรอบความคิดแบบ descriptive และ <br />
(3) กรอบความคิดแบบผสมผสานระหว่าง prescriptive และ descriptive<br />
<br />
<strong><span style="font-size: large;">กรอบความคิดแบบ prescriptive</span> </strong><br />
กรอบความคิดแบบ prescriptive เป็นกรอบความคิดที่พบมากที่สุด ซึ่งอธิบายถึงพัฒนาการของความรู้ในองค์กร หรือเรียกว่า "วงจรความรู้ (Knowledge Spiral)" ตัวอย่าง เช่น (บุญดี บุญญากิจ และคนอื่น ๆ, 2548, หน้า 31-43)<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-CvKVSo48LGV7mgfnN3VMMdo2pPzCeq6sposmkDL7_675TJMcgdD9NaeIKsVOfaV6yAsjuBNR0nsMJqVdZOPUUWUHuPKog2Ed6Jr1xD4-7CYO5PcXAgMqubfFlxo2BGoMR1fMoH9-0HI/s1600/wiig.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-CvKVSo48LGV7mgfnN3VMMdo2pPzCeq6sposmkDL7_675TJMcgdD9NaeIKsVOfaV6yAsjuBNR0nsMJqVdZOPUUWUHuPKog2Ed6Jr1xD4-7CYO5PcXAgMqubfFlxo2BGoMR1fMoH9-0HI/s1600/wiig.gif" /></a></div>
<br />
Wiig (1993, p. 31) แบ่งองค์ประกอบเป็น 3 เสาหลักของการจัดการความรู้ (Pillar of KMX) ประกอบด้วย การสร้าง การนำเสนอ การใช้ และการถ่ายทอด<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRIYRzF1ABaFKm2xGKDQe2DUc3yyFFFLO8F8aZTg-qDGdNnFyzqdRosIJXRBW5QTVaosWqeyglQcUDbqQB2nt1GcknYUiymjNW-3rHHcbtL3hrCq0BwckcrP1GM5Np2rpTyaUNo6CWxmM/s1600/seci01.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="318" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRIYRzF1ABaFKm2xGKDQe2DUc3yyFFFLO8F8aZTg-qDGdNnFyzqdRosIJXRBW5QTVaosWqeyglQcUDbqQB2nt1GcknYUiymjNW-3rHHcbtL3hrCq0BwckcrP1GM5Np2rpTyaUNo6CWxmM/s320/seci01.png" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
Nonaka and Takeuchi (1995, p. 32) ได้นำเสนอวงจร SECI ซึ่งกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงความรู้ ระหว่าง tacit knowledge และ explicit knowledge <br />
<br />
<span style="color: #cc0000;"><span style="color: blue;">1. ความรู้โดยนัย หรือแฝงเร้น (tacit knowledge)</span> <br />คือ ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคนเกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้หรือพรสวรรค์ต่าง ๆ ไม่ได้ถอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบางครั้งก็ไม่สามารถถอดเป็นลายลักษณ์อักษรได้ จัดเป็นความรู้อย่างไม่เป็นทางการ แต่สามารถถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้ได้<br /><span style="color: blue;">2. ความรู้ชัดแจ้ง (explicit knowledge)</span><br /> คือ ความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผล มีการเขียนอธิบายออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น คู่มือปฏิบัติงาน หนังสือ ตำรา สามารถจัดระบบและจัดหมวดหมู่ได้</span><br />
<br />
ทำให้เกิดความรู้ใหม่ จาก Socialization ไปยัง Externalization สู่ Combination และ Internalization ตามลำดับ <br />
<ol>
<li>Socialization <div>
เป็นขั้นตอนแรกในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการสร้าง tacit knowledge จาก tacit knowledge ของผู้ร่วมงานโดยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงที่แต่ละคนมีอยู่</div>
</li>
<li>Externalization <div>
เป็นขั้นตอนที่สองในการสร้างและแบ่งปันความรู้จากสิ่งที่มีอยู่และเผยแพร่ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการแปลงความรู้จาก tacit knowledge เป็น explicit knowledge</div>
</li>
<li>Combination <div>
เป็นขั้นตอนที่สามในการแปลงความรู้ขั้นต้น เพื่อการสร้าง explicit knowledge จาก explicit knowledge ที่ได้เรียนรู้ เพื่อการสร้างเป็นความรู้ประเภท explicit knowledge ใหม่ ๆ</div>
</li>
<li>Internalization <div>
เป็นขั้นตอนที่สี่และขั้นตอนสุดท้ายในการแปลงความรู้จาก explicit knowledge กลับสู่ tacit knowledge ซึ่งจะนำความรู้ที่เรียนมาใช้ในการปฏิบัติงานหรือใช้ในชีวิตประจำวัน</div>
</li>
</ol>
<br />
ซึ่งจะหมุนเป็นเกลียวไปเรื่อย ๆ และได้รับการยอมรับจากองค์กรต่าง ๆ และผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมาก ดังภาพข้างล่าง<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3mOrJZip9NfChltAXel4R77gyAwPj6r4YmJK7kPaRKISR14rB2dvOyQsb-AGBE-IxH5pxhO5nAMoCu2nrykOjQAVImR2ERTzXsjeMjrC5gutQNos1O3ReN7RgCiEdMIT8fuXNYs6_43E/s1600/seci-model3.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3mOrJZip9NfChltAXel4R77gyAwPj6r4YmJK7kPaRKISR14rB2dvOyQsb-AGBE-IxH5pxhO5nAMoCu2nrykOjQAVImR2ERTzXsjeMjrC5gutQNos1O3ReN7RgCiEdMIT8fuXNYs6_43E/s1600/seci-model3.png" /></a></div>
<br />
โดยแต่ละแบบจะมีความแตกต่างในองค์ประกอบ และการให้ความหมาย แต่เนื้อหาหลัก ๆ จะไม่แตกต่างกันมากนัก จะประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้<br />
<ol>
<li>การค้นหาว่าองค์กรมีความรู้อะไรบ้าง ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร และความรู้ที่จำเป็นต่อองค์กรมีอะไรบ้าง (knowledge identification)</li>
<li>การสร้างและการแสวงหาความรู้ (knowledge creation and acquisition)</li>
<li>การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (knowledge organization)</li>
<li>การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (knowledge codification and refinement)</li>
<li>การเข้าถึงความรู้ (knowledge access)</li>
<li>การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ (knowledge sharing)</li>
<li>การเรียนรู้ (learning)</li>
</ol>
ซึ่ง ทั้ง 7 องค์ประกอบ เป็นกระบวนการความรู้ (knowledge process)<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-size: large;"><strong>กรอบแนวคิดแบบ descriptive</strong></span><br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsEM1vA0ioqHt3FJcjG-7odgbpvYSjVTeQIyvacPsCxGs-W1RXSKmVUPPMhgvCtIVQMzbaBhJU3WsEu7MsYpyeGneJdQN67ZEX_8aBHA_oXaQtinMRlD04UtuHCNyZW67rVXt9RYlbhh0/s1600/0684844745.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsEM1vA0ioqHt3FJcjG-7odgbpvYSjVTeQIyvacPsCxGs-W1RXSKmVUPPMhgvCtIVQMzbaBhJU3WsEu7MsYpyeGneJdQN67ZEX_8aBHA_oXaQtinMRlD04UtuHCNyZW67rVXt9RYlbhh0/s320/0684844745.jpg" width="211" /></a><br />
<br />
กรอบแนวคิดแบบ descriptive เป็นกรอบความคิดที่อธิบายถึงขั้นตอนการจัดการความรู้ และปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จและความล้มเหลวของการจัดการความรู้ เช่น วัฒนธรรมองค์กร การเชื่อมโยง การจัดการความรู้กับทิศทางองค์กร การที่ต้องมีข้อมูลป้อนกลับเพื่อปรับการจัดการความรู้ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เป็นต้น <br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<strong>ตัวอย่างกรอบความคิดแบบ descriptive</strong> ได้แก่<br />
O’Dell, Grayson, and Essaides (1998, p. 34) ได้นำเสนอ กรอบความคิดที่ใช้การจัดการความรู้ในองค์กร มีองค์ประกอบหลัก 3 อย่าง คือ<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmdcSDJHR3Sgm2hAcb-FT1PqBtxhKnFgS0MMbVxGVpaTxJbLLVoKk_7_3gxDRLB544KmtPgsp3WYra-LeNbpPtTC5G05tQqvRUgohKFEXNhyphenhyphenLBTU2f1ImFpt1jBE2oFCtCTIttGevBSuo/s1600/11011.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="262" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmdcSDJHR3Sgm2hAcb-FT1PqBtxhKnFgS0MMbVxGVpaTxJbLLVoKk_7_3gxDRLB544KmtPgsp3WYra-LeNbpPtTC5G05tQqvRUgohKFEXNhyphenhyphenLBTU2f1ImFpt1jBE2oFCtCTIttGevBSuo/s400/11011.png" width="400" /></a></div>
<br />
<ol>
<li>การกำหนดสิ่งสำคัญที่องค์กรต้องทำให้สำเร็จ</li>
<li>ปัจจัยที่ทำให้สามารถจัดการความรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล </li>
<li>กระบวนการเปลี่ยนแปลง </li>
</ol>
เรามาศึกษารายละเอียด ทั้ง 3 ส่วนกัน <br />
<div>
</div>
<ol>
<li>การกำหนดสิ่งสำคัญที่องค์กรต้องทำให้สำเร็จ <div>
ขั้นตอนนี้สำคัญที่สุดเพราะจะเป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับ การทำให้ลูกค้าประทับใจ การลดระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ และความเป็นเลิศในการปฏิบัติการ</div>
<div>
</div>
</li>
<li>ปัจจัยที่ทำให้องค์กรสามารถจัดการความรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล <div>
องค์กรต้องสร้างปัจจัยหลัก 4 ด้านที่จะช่วยให้การจัดการความรู้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ได้แก่ </div>
<div>
2.1 ด้านวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งได้แก่ การสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงในการเป็นแบบอย่างที่ดี สร้างบรรยากาศที่ทำให้บุคลากรกล้าคิด กล้าทำเปิดเผยต่อกัน มีการทำงานเป็นทีม และทำให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของบุคลากรเป็นส่วนหนึ่งของระบบการประเมินผลและพัฒนาบุคลากร </div>
<div>
2.2 ด้านเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้การจัดการความรู้ทำได้รวดเร็วขึ้น เช่น อินเทอร์เน็ต และอินทราเน็ต เป็นต้น </div>
<div>
2.3 ด้านโครงสร้างขององค์กรที่เอื้อต่อการจัดการความรู้ เช่น การกำหนดบุคคลหรือทีมรับผิดชอบในการจัดการความรู้ในองค์กร และการกำหนดเครือข่ายการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ชัดเจน เป็นต้น </div>
<div>
2.4 ด้านการวัดผลการจัดการความรู้ ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะจะเป็นฐานที่บอกถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการจัดการความรู้ในองค์กร </div>
<div>
</div>
</li>
<li>กระบวนการเปลี่ยนแปลง <div>
เมื่อได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ และมั่นใจว่ามีปัจจัยทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น องค์กรจะต้องใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ ซึ่งกระบวนการประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ๆ คือ วางแผน ออกแบบ ปฏิบัติ และขยายผล</div>
</li>
</ol>
<br />
กรอบความคิดที่สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติได้นำมาทดลองใช้ในโครงการนำร่อง มาจาก Osterhoff (อ้างถึงใน บุญดี บุญญากิจ และคนอื่น ๆ, 2548, หน้า 36-38) ที่ปรึกษาโครงการ โดยดัดแปลงมาจากรูปแบบการจัดการความรู้ของบริษัท Xerox Corporation ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ 6 อย่างดังนี้ <br />
<ol>
<li>การจัดการการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม (transition and behavior management) </li>
<li>การสื่อสาร (communication)</li>
<li>กระบวนการและเครื่องมือ (process and tool) </li>
<li>การฝึกอบรมและการเรียนรู้ (training and learning) </li>
<li>การวัดผล (measurement) </li>
<li>การยกย่องชมเชยและให้รางวัล (recognition and reward)</li>
</ol>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-27764615242425271362012-06-24T16:23:00.002+07:002012-06-25T05:23:59.249+07:0011.1 การจัดกระบวนการเรียนรู้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiH0im-NJvrFXvZHF1wnRFIovdR0KlK4YeltoXHIQGCvjSsufxM3bIbk-cT79WeAoV_vo3C9NcPCRN9wBn4H_vMZfZZhL5hODUPCZ7ivBtP9SOWSKrZyxgnZBeg8G6Hf_uf_m9F4JdiqzU/s1600/11service.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiH0im-NJvrFXvZHF1wnRFIovdR0KlK4YeltoXHIQGCvjSsufxM3bIbk-cT79WeAoV_vo3C9NcPCRN9wBn4H_vMZfZZhL5hODUPCZ7ivBtP9SOWSKrZyxgnZBeg8G6Hf_uf_m9F4JdiqzU/s1600/11service.jpg" /></a></div>
<br />
ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy – KBE) งานต่างๆ จำเป็นต้องใช้ความรู้มาสร้างผลผลิตให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น การจัดการความรู้เป็นคำกว้างๆ ที่มีความหมายครอบคลุมถึง เทคนิค กลไกต่างๆ มากมาย เพื่อสนับสนุนให้การทำงานในองค์กร มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในการรวบรวมความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ที่ต่างๆ มารวมไว้ที่เดียวกัน ซึ่งช่องทางบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถตอบสนองในการเป็นเวที แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปัน นำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1Q2oQwhORmIQH2_c3SbUIl1-HeBTby8XRDfj3Xk41Xr3SnDoSUeafUE0Z2O5WhN2VwlhI3hxYOjrDGZjTFdtJY9DLlAYJxjlZRTCIFkd1B2BwEYeo32sCMi1n0PjmmkG5mlXfvciwcz8/s1600/481.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1Q2oQwhORmIQH2_c3SbUIl1-HeBTby8XRDfj3Xk41Xr3SnDoSUeafUE0Z2O5WhN2VwlhI3hxYOjrDGZjTFdtJY9DLlAYJxjlZRTCIFkd1B2BwEYeo32sCMi1n0PjmmkG5mlXfvciwcz8/s1600/481.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
<strong>การจัดการความรู้ (Knowledge management - KM)</strong> <br />
คือ การรวบรวม (ร่วม)สร้างสาระความรู้ ทั้งของบุคคล หรือของกลุ่ม หรือจากสภาพแวดล้อมรอบตัว โดยพัฒนาจากข้อมูลดังกล่าวไปสู่สารสนเทศ เพื่อนำไปสู่การหลอมรวม แลกเปลี่ยน ร่วมศึกษาเรียนรู้ นำไปสู่การต่อเติมความสว่างทางปัญญาของบุคลากร ในองค์กร หรือของผู้เรียนรู้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย หรือเผยแพร่เป็นข้อมูลสาธารณะสู่เครือข่ายการเรียนรู้<br />
<br />
การจัดการความรู้ ประกอบด้วย 2 คำ คือ<br />
<strong><span style="color: blue;">การจัดการ</span></strong> และ <strong><span style="color: red;">ความรู้</span></strong> ซึ่งแต่ละคำนี้ ต่างมีความหมายในตัวเอง ดังนี้ <br />
<br />
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้คำนิยามไว้ ดังนี้ <br />
<span style="color: #cc0000;"><span style="color: #0b5394;">การจัดการ คือ จัดการ ก. สั่งงาน ควบคุมงาน ดำเนินงาน</span></span><br />
<span style="color: #cc0000;">ความรู้ คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขา</span><br />
<br />
นพ.วิจารณ์ พานิช กล่าวว่า ความรู้ มี 2 ประเภท คือ <br />
<ol>
<li>ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) <br />เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด หรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม</li>
<li>ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) <br />เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม <br />อ้างอิง : <a href="http://www.dopa.go.th/">www.dopa.go.th</a> </li>
</ol>
<br />
ยืน ภู่วรวรรณ (2543, หน้า 110) ได้อธิบายความหมายของความรู้ว่า “เป็นการใช้สารสนเทศในการสร้างให้เกิดการคิดและตัดสินใจ” ซึ่งเป็นการให้ความหมายของความรู้ในแง่ของการใช้เครื่องมือในการสื่อความรู้ (สารสนเทศ) เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการคิดและตัดสินใจ<br />
<br />
วิจารณ์ พานิช (2547, หน้า 4-5) ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับความรู้ในหลายความหมายสรุปได้ว่า ความรู้ หมายถึง สิ่งที่เมื่อนำไปใช้ จะไม่มีวันหมดหรือสึกหรอ แต่จะยิ่งงอกเงยหรืองอกงามขึ้น หรือหมายถึง สารสนเทศที่นำไปสู่การปฏิบัติ และเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ซึ่งเกิดขึ้น ณ จุดที่ต้องการใช้ความรู้นั้น อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ขึ้นกับบริบทและสามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ตามความต้องการ ขณะที่ ชัชวาลย์ วงศ์ประเสริฐ (2548, หน้า 17) เห็นว่าความรู้ คือ กรอบของการประสมประสานระหว่าง สถานการณ์ ค่านิยม รวมไปถึงความรู้<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikIdOgVFin197RTMMZ829zVHwfagfm3v6YySLSf4FteQiY5Ug7jXmgoDwXZq71D4-Y-IOWwKCFcDKASJsf-ioKt3M-1SF6FZsE6j-Bz_0hBHuXuT4tPdaTgWSTNg0F8C6doppyzmW80t4/s1600/482.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikIdOgVFin197RTMMZ829zVHwfagfm3v6YySLSf4FteQiY5Ug7jXmgoDwXZq71D4-Y-IOWwKCFcDKASJsf-ioKt3M-1SF6FZsE6j-Bz_0hBHuXuT4tPdaTgWSTNg0F8C6doppyzmW80t4/s1600/482.jpg" /></a></div>
<br />
<strong>ความหมายของการจัดการความรู้</strong><br />
การจัดการความรู้ <br />
เป็น กระบวนการรวบรวม การจัดระบบ การแลกเปลี่ยน และการประยุกต์ใช้ความรู้ในองค์กร โดยการพัฒนา จากระบบข้อมูลไปสู่สารสนเทศ เพื่อก่อให้เกิดความรู้และปัญญา ซึ่งจะทำให้ทุกคนในองค์กรมีความสามารถ เข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ สามารถนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การคิดวิเคราะห์ และการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนเรียนรู้<br />
<br />
นอกจากนี้ นักการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ องค์ภาคเอกชน ได้ให้นิยามของการจัดการความรู้ ไว้หลากหลายความหมาย ดังนี้<br />
<br />
<span style="color: red;">Ryoko Toyama</span> <br />
การจัดการเพื่อเอื้อให้เกิดความรู้ใหม่ โดยใช้ความรู้ที่มีอยู่ ประสบการณ์ของคนในองค์กรอย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนา นวัตกรรมที่จะทำให้มีความได้เปรียบคู่แข่งขันทางธุรกิจ <br />
<br />
<span style="color: red;">World Bank</span><br />
เป็นการรวบรวมวิธีปฏิบัติขององค์กร และกระบวนการที่เกี่ยวกับการสร้าง การนำมาใช้ และเผยแพร่ความรู้ และบริบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ<br />
<span style="color: red;">EFQM</span><br />
เป็นวิธีการจัดการความรู้ เป็นกลยุทธ์ และกระบวนการในการจำแนก <br />
จัดหา และนำความรู้มาใช้ประโยชน์ เพื่อช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้<br />
<div>
</div>
<span style="color: red;">ศาสตราจารย์ น.พ.วิจารณ์ พานิช </span><br />
เครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการไปพร้อมๆกัน ได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และบรรลุความเป็นชุมชน เป็นหมู่คณะ ความเอื้ออาทร ระหว่างกันในที่งาน<br />
<span style="font-size: x-small;">อ้างในเอกสาร การประชุมปฏิบัติการพัฒนาวิทยากรแกนนำนักจัดการความรู้สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 22-26 พฤษภาคม 3550 ณ โรงแรม แกนด์ เดอร์วิลล์ กรุงทพมาหานคร</span> <br />
<br />
<span style="color: red;">สำนักงาน ก.พ.ร กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร กรมวิชาการเกษตร ศูนย์ปฏิบัติการฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี 5</span> ได้ให้ความหมายของ KM ไว้ว่า <br />
<div>
“เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบเพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้ง ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด” (<a href="http://www.doa.go.th/korporror">www.doa.go.th/korporror</a>)</div>
<div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /> </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6kMdEAY8IvF0blsDhjOXayhAIJDNcv5CGjhEniyA3pgHsTcmmNUqg959PmG8KNfL2-q_2081SWdo_Nv6v5YenZcoVJVSF9y-zX-q7LZv0Cpl1IMW9JF3zReiEiau_mKrRPUjNXV91mbc/s1600/undspectrum.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6kMdEAY8IvF0blsDhjOXayhAIJDNcv5CGjhEniyA3pgHsTcmmNUqg959PmG8KNfL2-q_2081SWdo_Nv6v5YenZcoVJVSF9y-zX-q7LZv0Cpl1IMW9JF3zReiEiau_mKrRPUjNXV91mbc/s1600/undspectrum.gif" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<strong>ความหมายของการจัดกระบวนการเรียนรู้</strong> <br />
หมายถึง วิธีการจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จนเกิดการเรียนรู้ Alan Thomas (อ้างถึงในกรมการศึกษานอกโรงเรียน, 2543) ได้ระบุว่าลักษณะของ กระบวนการเรียนรู้มี 8 ประการ ได้แก่ <br />
<ol>
<li>การเรียนรู้เป็นการลงมือปฏิบัติ </li>
<li>การเรียนรู้เป็นปัจเจกบุคคล </li>
<li>การเรียนรู้ได้รับอิทธิพลจากบุคคลในสังคมร่วมกัน </li>
<li>การเรียนรู้เป็นการตอบสนองสิ่งที่พบ/กระตุ้น </li>
<li>การเรียนรู้เป็นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต </li>
<li>การเรียนรู้ไม่สามารถเปลี่ยนกลับไป-มาได้ </li>
<li>การเรียนรู้ต้องใช้เวลา </li>
<li>การเรียนรู้ไม่สามารถเกิดจากการถูกบังคับ</li>
</ol>
<div>
<strong>กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management Process)</strong></div>
<div>
ขอบเขตของการจัดการความรู้นั้น มีความกว้างขวางและสลับซับซ้อน รวมถึงครอบคลุมศาสตร์ต่างๆ เป็นจานวนมาก ได้แก่ การจัดการ การปฏิบัติและหลักปรัชญา เทคโนโลยี กลยุทธ์ และลักษณะพฤติกรรมของมนุษย์ </div>
<div>
</div>
<div>
อย่างไรก็ตาม การจัดการความรู้มีแกนหลักที่สาคัญ คือ “กระบวนการจัดการความรู้”5 (Knowledge Management Process) ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการหลักที่สาคัญ 5 ประการ ดังต่อไปนี้</div>
<ol>
<li>การจัดหาความรู้ (Knowledge Acquisition)</li>
<li>การจัดเก็บและค้นคืนความรู้ (Knowledge Storage and Retrieval)</li>
<li>การใช้ความรู้ (Knowledge Usage/Utilization)</li>
<li>การเคลื่อนย้าย/การกระจาย/การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Transfer/Distribution/Sharing) </li>
<li>การสร้างความรู้ใหม่ (New Knowledge Creation)</li>
</ol>
<br />
<br />
ในส่วนของกระบวนการเรียนรู้นั้นตามแนวคิดของ Jerome Bruner (อ้างถึงในมาลินี จุฑะรพ, 2539) ได้กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ประกอบด้วยขั้นตอน 3 ขั้นตอนคือ <br />
<ol>
<li>การรับความรู้ เป็นขั้นตอนของการเรียนรู้ใหม่ๆที่ได้จากการเรียนรู้ </li>
<li>การแปลงรูปของความรู้ เป็นขั้นตอนการแปลงรูปความรู้ที่ได้รับมาให้สัมพันธ์กับ ประสบกรณ์เดิมหรือเหตุการณ์ปัจจุบัน </li>
<li>การประเมินผล เป็นขั้นตอนของการประเมินผลว่า สิ่งที่ได้รับมา เป็นความรู้ใหม่ เมื่อผ่าน ขั้นการแปลงรูปของความรู้แล้วว่าดีหรือไม่ หรือทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ก้าวหน้าขึ้นเพียงใด </li>
</ol>
<br />
การเรียนรู้อาจเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ต่างๆดังนี้ <br />
<ol>
<li>การเรียนรู้โดยบังเอิญ ซึ่งอาจเป็นผลพลอยได้จากเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่ ผู้เรียน ไม่ได้เจตนา</li>
<li>การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนที่เกิดจากความอยากรู้ อยากเรียน </li>
<li>การเรียนรู้จากกลุ่ม </li>
<li>การเรียนรู้ที่จัดโดยสถาบันการศึกษา </li>
</ol>
มาลินี จุฑะรพ (2539) ได้กล่าวว่าผลของการเรียนรู้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ใน 3 ด้าน คือ <br />
<ol>
<li>ความรู้ เช่น ความคิด ความเข้าใจ และความจำในเนื้อหาสาระต่างๆ เป็นต้น </li>
<li>ทักษะ เช่น การพูด การกระทำ และการเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น </li>
<li>ความรู้สึก เช่น เจตคติ จริยธรรม และค่านิยม เป็นต้น </li>
</ol>
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2543) ได้เสนอแนวขั้นตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ <br />
<ol>
<li>สำรวจความต้องการ โดยการซักถามสังเกต สัมภาษณ์ พูดคุย ทดสอบก่อนเรียน </li>
<li>เตรียมการ เกี่ยวกับสาระการเรียนรู้และองค์ประกอบอื่นๆที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เช่น วัสดุอุปกรณ์ สื่ออื่นๆที่เกี่ยวข้อง วางแผนการจัดกิจกรรม, วางแผนการเรียนการสอน ให้เชื่อมโยงต่อเนื่อง สอดคล้องกับ ความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน </li>
<li>ดำเนินกิจกรรมการการเรียนรู้ มีขั้นตอนย่อยคือ <div>
3.1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน </div>
<div>
3.2 ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้ </div>
<div>
3.3 ขั้นวิเคราะห์ อภิปรายผลงาน/องค์ความรู้ที่สรุปได้จากการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ วิเคราะห์ อภิปรายกระบวนการเรียนรู้ </div>
</li>
<li>ประเมินผล </li>
<li>สรุปและนำไปประยุกต์ใช้<br /><br /></li>
</ol>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-74190793555277166442012-06-24T15:19:00.004+07:002012-06-24T15:19:46.855+07:0010.8 ลักษณะเฉพาะของเครือข่ายความรู้(การเรียนรู้)<strong>ลักษณะเฉพาะของเครือข่ายความรู้(การเรียนรู้)</strong> <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSbxWT8qgsJfPoms-Ygype3U3eLdsLWfmFD1h8M_yBNKsXYAHjcU9Bgll1-ToVAmK1TT3b5krBGNwvwzeIKf6n3nKsJGpriaEh6paOmlFW_YJrhfc0kC1V8LNPknonBTwoVuPZHAL9PNo/s1600/100learn02.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSbxWT8qgsJfPoms-Ygype3U3eLdsLWfmFD1h8M_yBNKsXYAHjcU9Bgll1-ToVAmK1TT3b5krBGNwvwzeIKf6n3nKsJGpriaEh6paOmlFW_YJrhfc0kC1V8LNPknonBTwoVuPZHAL9PNo/s1600/100learn02.jpg" /></a></div>
<div>
</div>
• การประสานแหล่งความรู้ต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อรับและส่งหรือถ่ายทอดความรู้ประเภทต่างๆ ไปยังประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา<br />
• การจัด และเชื่อมโยงแหล่งการเรียนรู้ให้เป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้เรียนรู้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ เพื่อขยายบริการการศึกษา แลกเปลี่ยนและกระจายความรู้ ข้อมูลข่าวสารไปสู่วงกว้างได้รวดเร็ว<br />
• การถ่ายทอด แลกเปลี่ยน และกระจายความรู้ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญา และองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้กับชุมชน<br />
<br />
<div>
</div>
<strong> คุณลักษณะพิเศษของเครือข่ายการเรียนรู้</strong> <br />
<ol>
<li>สามารถเข้าถึงได้กว้างขวาง ง่าย สะดวก นักเรียนสามารถเรียกข้อมูลมาใช้ได้ง่าย และเชื่อมโยงเข้าหานักเรียนคนอื่นได้รวดเร็ว และสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้ทุกเวลาทุกสถานที่ที่มีเครือข่าย </li>
<li>เป็นการเรียนแบบร่วมกันและทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม คุณลักษณะพื้นฐานของเครือข่ายการเรียนรู้ คือ การเรียนแบบร่วมมือกัน ดังนั้น ระบบเครือข่ายจึงเป็นกลุ่มของการเรียนรู้ โดยผ่านระบบการสื่อสารที่สังคมยอมรับ เครือข่ายการเรียนรู้จึงมีรูปแบบของการร่วมกันบนพื้นฐานของการแบ่งปันความน่าสนใจ ของข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน</li>
<li>สร้างกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้กระทำมากกว่าเป็นผู้ถูกกระทำ </li>
<li>ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอน และเน้นบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไป </li>
<li>จัดให้เครือข่ายการเรียนรู้เป็นเสมือนชุมชนของการเรียนรู้แบบออนไลน์ </li>
</ol>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5Xf19nwrLpKcUGkOYckuqYHGF6iWZxDeaxJZMugi0m2pw1f4O-PV4OiQEMEcEzonqfAKr0ax8LL8rIUhqytRUJgv88fuHQh6841AOwYUf38De8-G3zsFMWIobM4Cupa8zqfxnHqQ6n6I/s1600/100learn01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5Xf19nwrLpKcUGkOYckuqYHGF6iWZxDeaxJZMugi0m2pw1f4O-PV4OiQEMEcEzonqfAKr0ax8LL8rIUhqytRUJgv88fuHQh6841AOwYUf38De8-G3zsFMWIobM4Cupa8zqfxnHqQ6n6I/s1600/100learn01.jpg" /></a></div>
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
เครือข่ายการเรียนรู้ในประเทศไทยมีมากมายหลายเครือข่าย มีทั้งเครือข่ายการเรียนรู้เฉพาะกลุ่ม เครือข่ายการเรียนรู้ขนาดใหญ่ เช่น <br />
<ul>
<li>เครือข่ายไทยสาร <br />เป็นเครือข่ายสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกันกว่า 50 สถาบัน(ปีพ.ศ.2535) </li>
<li>เครือข่ายยูนิเน็ต (UNINET)<br />เป็นเครือข่ายเพื่อการเรียนการสอนพัฒนาโดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา(ทบวงมหาวิทยาลัยปี พ.ศ. 2540) </li>
<li>สคูลเน็ต (SchoolNet)<br />เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ได้รับกาสนับสนุนจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ </li>
<li>เครือข่ายนนทรี <br />เป็นเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และสถานศึกษาในเครือข่าย</li>
</ul>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-89247328137481503612012-06-24T15:15:00.001+07:002012-06-24T15:15:11.706+07:0010.7 ความหมายของเครือข่ายความรู้(การเรียนรู้)<strong>ความหมายของเครือข่ายความรู้(การเรียนรู้)</strong> <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbR-LufMAMlniN5xx1xm5drYn8bZj18Ve0_x83oqJBFQaja4luJ7GCKbRF1vMW1fdxn5EIuqYVjeeucoJzu9QUusvvFwDtqaiQDsbeo0b3ryRaTyZbmtRcrvZVdeiJS2h-WQZjCdu6q5Y/s1600/100Connectedpeople.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbR-LufMAMlniN5xx1xm5drYn8bZj18Ve0_x83oqJBFQaja4luJ7GCKbRF1vMW1fdxn5EIuqYVjeeucoJzu9QUusvvFwDtqaiQDsbeo0b3ryRaTyZbmtRcrvZVdeiJS2h-WQZjCdu6q5Y/s1600/100Connectedpeople.jpg" /></a></div>
<br />
มีผู้ให้ความหมายของเครือข่ายการเรียนรู้ ไว้หลากหลาย อาทิ <br />
เครือข่ายการเรียนรู้ <br />
คือ การที่ชาวบ้านรวมตัวกัน ขบคิดปัญหาของเขา รวมพลังแก้ปัญหา และหาผู้นำขึ้นมาจากหมู่ชาวบ้านด้วยกันเอง แล้วรวมตัวกันเพื่อมีอำนาจต่อรอง มีการต่อสู้ทางความคิด มีการเรียนรู้จากภายนอก มีการไปมาหาสู่กันเรียนรู้ดูงานด้วยกัน จนกระทั่งเกิดเป็นกระบวนการแก้ปัญหาได้ การทำมาหากินดีขึ้น เศรษฐกิจแต่ละครอบครัวดีขึ้น (เอกวิทย์ ณ ถลาง, 2539) <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2R2CbHf8-pQG9k0Zk-xTDX17A_WpWY-lgjaOQCIMjJcn4Y6226-gBLrYITdICSo4n-2pVXmYFOnFHpM-HslPVWWn8oQoz8pceOI9LGVN4n6tWV35AHPiXFR5olDRFHj9PfjegOy40DtY/s1600/403.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2R2CbHf8-pQG9k0Zk-xTDX17A_WpWY-lgjaOQCIMjJcn4Y6226-gBLrYITdICSo4n-2pVXmYFOnFHpM-HslPVWWn8oQoz8pceOI9LGVN4n6tWV35AHPiXFR5olDRFHj9PfjegOy40DtY/s1600/403.jpg" /></a></div>
<br />
เครือข่ายการเรียนรู้ <br />
หมายถึง ขอบเขตแห่งความสัมพันธ์ของกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีลักษณะประสาน ติดต่อสัมพันธ์ เชื่อมโยงอย่างต่อเนื่องในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งหรือหลายกิจกรรม ระหว่างคนกับคน คนกับกลุ่ม และกลุ่มกับกลุ่ม" (ประทีป อินแสง, 2539) <br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLGwCohkDe7yDmIHTF28crB8RRZ0iVsZyX8B5vrAwjb8qiXYcQrE4RYHoQhihxAQLPO-D7UGed4IhQpULxIT4W6JP7DDRS5aNwG9CI4OLE50_0hw2NK4CzdoQ9tZpiGbpqWffKSdkxLMo/s1600/454.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLGwCohkDe7yDmIHTF28crB8RRZ0iVsZyX8B5vrAwjb8qiXYcQrE4RYHoQhihxAQLPO-D7UGed4IhQpULxIT4W6JP7DDRS5aNwG9CI4OLE50_0hw2NK4CzdoQ9tZpiGbpqWffKSdkxLMo/s1600/454.jpg" /></a>เครือข่ายการเรียนรู้ <br />
หมายถึงการประสานแหล่งความรู้และข้อมูลข่าวสารการใช้ทรัพยากร ธรรมชาติและการปฏิบัติงานอย่างสอดคล้อง เชื่อมโยงกันทั้งระหว่างงานที่รับผิดชอบ การจัดการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียนและระหว่างหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในระดับต่างๆ ตลอดจนระบบการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อสร้างแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดและกระจายความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้เรียนรู้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่องตลอดชีวิต ตามความต้องการของบุคคลและชุมชน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2535)<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
เครือข่ายการเรียนรู้ <br />
หมายถึง การเรียนรู้ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ประโยชน์ประกอบกิจกรรมทางการศึกษาของมนุษย์ ทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา และการศึกษาผู้ใหญ่ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โปรแกรมที่ใช้ระบบควบคุมการทำงาน และเครือข่ายการสื่อสาร นอกจากนี้การเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนยังแตกต่างกันออกไปตามความสามารถในการสื่อสารของตัวผู้เรียนเอง และสภาวะแวดล้อมในการเชื่อมโยงข้อมูลอีกด้วย <br />
<br />
เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน <br />
เป็นการร่วมมือกันระหว่างแหล่งการเรียนรู้ประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในโรงเรียน เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดกลุ่มสาระการเรียนรู้ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องอินเทอร์เน็ต ห้องปฏิบัติการต่างๆ ห้องพิพิธภัณฑ์ อุทยานการศึกษา สวนสมุนไพร สวนหย่อม สวนวรรณคดี สวนคณิตศาสตร์ เป็นต้น<br />
เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้นอกโรงเรียน <br />
โรงเรียนดำเนินงานประสานความร่วมมือในการจัดให้ผู้เรียนได้ใช้แหล่งการเรียนรู้ที่อยู่นอกโรงเรียน เช่น วัด ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ ศูนย์กีฬา สถานประกอบการ อุทยานแห่งชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitJ8IcM3Br80kQjIm7U5WWyxZlGje_BvL4jmBZxF6xxLv47Fjmivi2h3Z1G4j9eaNtebwnYUHqHr4zk_B_c5L2tPHKkyH-tZ7GuIysc3MG6TOI6kZMb_rnbDfXSR_Fn7CMU2pN6TIZEH8/s1600/455.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitJ8IcM3Br80kQjIm7U5WWyxZlGje_BvL4jmBZxF6xxLv47Fjmivi2h3Z1G4j9eaNtebwnYUHqHr4zk_B_c5L2tPHKkyH-tZ7GuIysc3MG6TOI6kZMb_rnbDfXSR_Fn7CMU2pN6TIZEH8/s1600/455.jpg" /></a> การจัดการศึกษาในลักษณะ “เครือข่ายการเรียนรู้” นี้เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาชุมชนให้เกิดความยั่งยืน เนื่องจากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแก้ปัญหาร่วมกัน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนในชุมชนได้มีโอกาสคิด วิเคราะห์หาสาเหตุ และแนวทางแก้ไข ทดลองปฏิบัติและสรุปบทเรียนร่วมกัน กระบวนการดังกล่าวเมื่อนำมาใช้ในชีวิตจริงของคนในชุมชน จะช่วยให้คนเหล่านี้เรียนรู้ และพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการเรียนรู้จากปัญหาจริง และจะช่วยให้ชุมชนสามารถยกระดับการเรียนรู้ ในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ นำไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนสืบไปUnknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-34355269181112886772012-06-24T15:08:00.001+07:002012-06-24T15:08:05.426+07:0010.6 การบริหารจัดการเพื่อการพัฒนา และใช้แหล่งการเรียนรู้สำหรับสถานศึกษาการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนา และใช้แหล่งการเรียนรู้สำหรับสถานศึกษา <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMiqA4NFT63Rv9AV2wwNwSlomnfupEnzhZtbya4TuPCKxZZSS8HlT90B-6zysxnOllDaQaWI408-Eqmb8Wye045w6rerswE5isU3LdVZi3qIonepq1XzmCuaUhnjU0Ob3lkWDTmabrnUg/s1600/original_pdca.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMiqA4NFT63Rv9AV2wwNwSlomnfupEnzhZtbya4TuPCKxZZSS8HlT90B-6zysxnOllDaQaWI408-Eqmb8Wye045w6rerswE5isU3LdVZi3qIonepq1XzmCuaUhnjU0Ob3lkWDTmabrnUg/s1600/original_pdca.jpg" /></a></div>
<br />
การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ เป็นงานที่สถานศึกษาส่วนใหญ่ดำเนินการอยู่แล้ว ภาพความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นกับนักเรียนก็คือ การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ สามารถแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งมีหลายช่องทาง เพียงแต่การดำเนินการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ ยังเป็นไปโดยไม่เป็นระบบ และกระบวนการที่ชัดเจน แหล่งเรียนรู้บางแห่งจึงไม่ได้ถูกใช้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง <br />
แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติก็ถูกละเลย ไม่ได้เข้าไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องเป็นผู้นำการดำเนินการ สู่ความสำเร็จโดยกำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งอาจบริหารจัดการได้ดังนี้ <br />
<br />
<strong>1. ขั้นวางแผน (Plan)</strong><br />
1.1. กำหนดนโยบายการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้<br />
สถานศึกษากำหนดนโยบายการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ โดย ทำความเข้าใจนโยบายตามแผนหลัก หลักสูตร รวมทั้งแนวดำเนินการของสถานศึกษาในฝัน เพื่อกำหนดนโยบายการพัฒนาและใช้<br />
แหล่งการเรียนรู้ โดยให้คณะครูมีส่วนร่วมในการกำหนด <br />
1.2 .จัดตั้งคณะกรรมการสำรวจแหล่งการเรียนรู้ เพื่อวิเคราะห์สภาพความพร้อมในการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาและชุมชน ซึ่งอาจประกอบด้วย<br />
- ผู้บริหารสถานศึกษา<br />
- ผู้ช่วยผู้บริหารสถานศึกษา ฝ่ายวิชาการ<br />
- หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระ<br />
- หัวหน้างานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน<br />
- ผู้เกี่ยวข้องที่สถานศึกษาพิจารณาตามความเหมาะสม<br />
1.3. จัดทำแผนงานพัฒนาแหล่งการเรียนรู้<br />
คณะกรรมการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ มีบทบาทหน้าที่สำคัญที่จะเป็นผู้สำรวจ วิเคราะห์ความพร้อม รวบรวมข้อมูลแล้วจัดทำแผนพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ให้สามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสม<br />
1.4. สร้างความเข้าใจแก่บุคลากรของสถานศึกษาและชุมชน<br />
สถานศึกษาดำเนินการสร้างความเข้าใจกับบุคลากรทุก ๆ ฝ่ายในสถานศึกษาและบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เครือข่ายผู้ปกครอง เพื่อสร้างความตระหนักและเห็นความสำคัญมีส่วนร่วมในการพัฒนาและใช้แหล่งการเรียนรู้<br />
1.5. ประชาสัมพันธ์โครงการ<br />
สถานศึกษามีการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาและใช้แหล่งการเรียนรู้ เพื่อให้ครู อาจารย์ นักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง มีความเข้าใจตรงกัน เกิดความร่วมมือในการสนับสนุน ช่วยเหลือ เพื่อให้แหล่งการเรียนรู้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMbn29tFhL6BeD9jhAwWXD04zt8uV7U7DbphitqDpFWw85Kl7Gt3ZByVCabf1ubbol1rprn5NH1fncH3AYY0zNjJftYqF7n5qeB6ElAHXJk0Ze-7jHkylN3wcyYV2U6RUw5SUhCvVzCXs/s1600/100natural-resource.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="298" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMbn29tFhL6BeD9jhAwWXD04zt8uV7U7DbphitqDpFWw85Kl7Gt3ZByVCabf1ubbol1rprn5NH1fncH3AYY0zNjJftYqF7n5qeB6ElAHXJk0Ze-7jHkylN3wcyYV2U6RUw5SUhCvVzCXs/s320/100natural-resource.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="font-size: large;">2. ขั้นการดำเนินงาน สร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ (DO)</span><br />
สถานศึกษาอาจมีแนวทางการสร้าง พัฒนา ใช้แหล่งเรียนรู้ ได้ดังนี้<br />
2.1. จัดตั้งคณะผู้รับผิดชอบแหล่งการเรียนรู้ ซึ่งอาจประกอบด้วย บุคลากร ดังต่อไปนี้<br />
- รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ<br />
- หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้<br />
- หัวหน้างานห้องสมุด<br />
- หัวหน้าศูนย์คอมพิวเตอร์ ของสถานศึกษา<br />
รับผิดชอบการดำเนินการสร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ ตามความพร้อมที่ได้ดำเนินการสำรวจ และวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งในสถานศึกษาและชุมชน กำหนดแหล่งเรียนรู้และจัดระบบสารสนเทศเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้<br />
2.2. สร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้<br />
ดำเนินการสร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ตามสารสนเทศที่มีอยู่ ให้มีประสิทธิภาพ จัดระบบการใช้ สำหรับผู้เรียน และผู้สนใจ <br />
2.3. ผู้เรียนและผู้สนใจได้ใช้แหล่งการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่า มีการรวบรวมข้อมูล<br />
การใช้ เพื่อเป็นข้อมูลกำหนดแนวทางในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ต่อไป <br />
<br />
<span style="font-size: large;"> 3. ขั้นตรวจสอบ ทบทวน กำกับติดตาม (CHECK)</span><br />
สถานศึกษากำหนดให้มีผู้รับผิดชอบในการนิเทศ ติดตาม และประเมินการพัฒนาและใช้<br />
แหล่งการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ แก้ไข ปัญหาอุปสรรคในระหว่างการดำเนินการ <br />
มีการประเมินทบทวนปรับปรุง กระบวนการดำเนินการ ให้เกิดการพัฒนาและใช้ แหล่งการเรียนรู้<br />
ตามแผนหลักและแนวดำเนินการของสถานศึกษาในฝันที่สถานศึกษากำหนดไว้ ตามบริบทของสถานศึกษาเอง มีการกำหนดวิธีการ และเครื่องมือประเมินผลการดำเนินการ การสร้าง การพัฒนาและใช้แหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ผลการประเมินและสรุปผลการประเมิน <br />
<br />
<span style="font-size: large;">4. ขั้นสรุปและรายงานผลการสร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ (ACTION)</span><br />
การสรุปรายงานการพัฒนาและใช้แหล่งการเรียนรู้ ควรรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เริ่มดำเนินการ ระหว่างดำเนินการ และเสร็จสิ้นการดำเนินการ เพื่อสรุปเป็นรายงานนำเสนอให้หน่วยงานต้นสังกัด<br />
ทุกระดับและผู้เกี่ยวข้องทราบ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ ให้เกิดการใช้แหล่งการเรียนรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมการพัฒนาต่อยอดต่อไป<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsx1-0znwdPqg2xSPyQYPyQmqObIFJX3s1-vY0po9m5fIpDR78JERSofniTLP5Uekg3auw5zO8JKoNbBXN3QO0lFWuTM-dJZ3j_33_JhqCqBgkwuwVO5BKjERRZVNOvUGLKjfpeS4osE4/s1600/407.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsx1-0znwdPqg2xSPyQYPyQmqObIFJX3s1-vY0po9m5fIpDR78JERSofniTLP5Uekg3auw5zO8JKoNbBXN3QO0lFWuTM-dJZ3j_33_JhqCqBgkwuwVO5BKjERRZVNOvUGLKjfpeS4osE4/s1600/407.jpg" /></a></div>
<br />
การเรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาเป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้อง กับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพราะเป็นการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน การเขียน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล มีการฝึกทักษะ ฝึกกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนสามารถจดจำองค์ความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ตลอดไป ดังนั้น สถานศึกษาทุกแห่งจะต้องให้ความสำคัญในการจัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน และมีการใช้ประโยชน์จากแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่ทั้งในสถานศึกษาและในชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-35673081184868529902012-06-24T15:02:00.001+07:002012-06-24T15:02:59.431+07:0010.5 ประเภทของแหล่งเรียนรู้สำหรับสถานศึกษาประเภทของแหล่งเรียนรู้สำหรับสถานศึกษา <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMbn29tFhL6BeD9jhAwWXD04zt8uV7U7DbphitqDpFWw85Kl7Gt3ZByVCabf1ubbol1rprn5NH1fncH3AYY0zNjJftYqF7n5qeB6ElAHXJk0Ze-7jHkylN3wcyYV2U6RUw5SUhCvVzCXs/s1600/100natural-resource.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="298" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMbn29tFhL6BeD9jhAwWXD04zt8uV7U7DbphitqDpFWw85Kl7Gt3ZByVCabf1ubbol1rprn5NH1fncH3AYY0zNjJftYqF7n5qeB6ElAHXJk0Ze-7jHkylN3wcyYV2U6RUw5SUhCvVzCXs/s320/100natural-resource.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<div>
</div>
แหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนมี 2 ประเภท คือ แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้น<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtC-3CNvpSmR_NnmhyphenhyphenESomLmimlCGVLzZvL8PEJIaDLhPMCJ9ahoK1vO6uzYQByx5bk9yrklxNcsVBcLdxPuOueMznvqPEbMlkavd6Qhtb5oQjNxRc-_LpsRUzqu-WwxOJae0rj1iBnsA/s1600/1001.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtC-3CNvpSmR_NnmhyphenhyphenESomLmimlCGVLzZvL8PEJIaDLhPMCJ9ahoK1vO6uzYQByx5bk9yrklxNcsVBcLdxPuOueMznvqPEbMlkavd6Qhtb5oQjNxRc-_LpsRUzqu-WwxOJae0rj1iBnsA/s1600/1001.jpg" /></a></div>
<br />
<ol>
<li><strong>แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน</strong><br />1.1 แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ <br />เช่น บรรยากาศ สิ่งแวดล้อม ปรากฏการณ์ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต ฯลฯ<br />1.2 แหล่งเรียนรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น <br />เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดกลุ่มสาระ ห้องสมุดเคลื่อนที่ ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการต่างๆ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องมัลติมีเดีย เว็บไซต์ ห้องอินเทอร์เน็ต ห้องเรียนสีเขียว ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องเกียรติยศ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสมุนไพร สวนวรรณคดี สวนสุขภาพ สวนหิน สวนหย่อม สวนผีเสื้อ บ่อเลี้ยงปลา เรือนเพาะชำ ต้นไม้พูดได้ ฯลฯ</li>
<li><strong>แหล่งเรียนรู้นอกโรงเรียน</strong><br />2.1 แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ <br />เช่น สภาพแวดล้อม ป่า ภูเขา แหล่งน้ำ ทะเล สัตว์ ฯลฯ <br />2.2 แหล่งเรียนรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น<br />เช่น ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬา สถานประกอบการ วัด ครอบครัว ชุมชน วิถีชีวิต วัฒนธรรม-ประเพณี สถาบันการศึกษาอื่นๆ โบราณสถาน สถานที่สำคัญ แหล่งประกอบการ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น</li>
</ol>
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
การเรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาเป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้อง กับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพราะเป็นการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน การเขียน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล มีการฝึกทักษะ ฝึกกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนสามารถจดจำองค์ความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ตลอดไป ดังนั้น สถานศึกษาทุกแห่งจะต้องให้ความสำคัญในการจัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน และมีการใช้ประโยชน์จากแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่ทั้งในสถานศึกษาและในชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-20913093963399190322012-06-24T07:19:00.004+07:002012-06-24T13:03:52.340+07:0010.4 องค์กรแห่งการเรียนรู้ : ความหมาย<strong>องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) : <span style="color: #cc0000;">ความหมาย</span></strong><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2LOJDz_CGH0RRCcBh3YwQQ4miI3N_KZb87Ytq7WZhseU2Ln6QomYQZQsH9ImQoameWUTyNcJWoz5cXFs3qyDus_Ns6wD_PcUvoCDfg1WgXS-44Y5Irue2D_bMFX2cGvnZirEspUI-1dg/s1600/10learn.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2LOJDz_CGH0RRCcBh3YwQQ4miI3N_KZb87Ytq7WZhseU2Ln6QomYQZQsH9ImQoameWUTyNcJWoz5cXFs3qyDus_Ns6wD_PcUvoCDfg1WgXS-44Y5Irue2D_bMFX2cGvnZirEspUI-1dg/s1600/10learn.jpg" /></a></div>
<br />
องค์การเรียนรู้ (Learning Organization) เป็นแนวคิดในการพัฒนาองค์การโดยเน้นการพัฒนาการเรียนรู้สภาวะของการเป็นผู้นำในองค์การ (Leadership) และการเรียนรู้ร่วมกัน ของคนในองค์การ (Team Learning) เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะร่วมกัน และพัฒนาองค์การอย่างต่อเนื่องทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขัน<br />
<br />
การมีองค์การแห่งการเรียนรู้นี้จะทำให้องค์การและบุคลากร มีกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีผลการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผล โดยมีการเชื่อมโยงรูปแบบของการทำงานเป็นทีม (Team working) สร้างกระบวนการในการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจเตรียมรับกับความเปลี่ยนแปลง เปิดโอกาสให้ทีมทำงานและมีการให้อำนาจในการตัดสินใจ (Empowerment) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศของการคิดริเริ่ม (Initiative) และการสร้างนวัตกรรม (Innovation) ซึ่งจะทำให้เกิดองค์การที่เข้มแข็ง พร้อมเผชิญกับสภาวะการแข่งขัน<br />
<br />
Learning Organization หรือ การทำให้องค์การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ เป็นคำที่ใช้เรียกการรวมชุดของความคิดที่เกิดขึ้นมาจากการศึกษาเรื่องขององค์การ <br />
Chris Argyris และ Donald Schon ได้ให้คำนิยามการเรียนรู้สองรูปแบบที่มีความสำคัญในการสร้าง Learning Organization คือ Single Loop Learning ( First Order / Corrective Learning) หมายถึง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นแก่องค์การเมื่อการทำงานบรรลุผลที่ต้องการลักษณะการเรียนรู้แบบที่สองเรียกว่า Double Loop Learning (Second Oder/Generative Learning)หมายถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อสิ่งที่ต้องการให้บรรลุผลหรือเป้าหมายไม่สอดคล้องกับผลการกระทำ <br /><br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhk7TK1lK3uYbvwcc1j0v6AP0cB4NEOaU5c0tw68MieFcYNhmx1826HAlQWsFABs3CdVvGZVM2i7VmSixCuIevNAi3KT5QE8LGti934OXV8mZBJfJzB_OGg9Ce0_8w_VNJ3Lk4OWk1zyKU/s1600/The+Fifth+Discipline.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhk7TK1lK3uYbvwcc1j0v6AP0cB4NEOaU5c0tw68MieFcYNhmx1826HAlQWsFABs3CdVvGZVM2i7VmSixCuIevNAi3KT5QE8LGti934OXV8mZBJfJzB_OGg9Ce0_8w_VNJ3Lk4OWk1zyKU/s1600/The+Fifth+Discipline.jpg" /></a>ความรู้จาก Organization Learning เป็นหลักการที่ Peter Senge ได้รวบรวมจากแนวคิดของ Chris Argyris และ Donald Schon รวมถึงนักวิชาการท่านอื่น มาเขียนหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับ Learning Organization ซึ่งมีชื่อว่า .”The Fifth Discipline”<br />
<br />
<br />
<br />
ซึ่ง Peter M. Senge ได้กล่าวถึงแนวปฏิบัติเพื่อนำพาไปสู่ความสำเร็จขององค์กรแห่งการเรียนรู้ อย่างเป็นรูปธรรมภายใต้พื้นฐานวินัย 5 ประการ ได้แก่<br />
<ol>
<li>Personal mastery <br />เพิ่มศักยภาพของตนเองได้ เพื่อผลสำเร็จที่ดีกว่า โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายด้วย การสร้างวิสัยทัศน์ส่วนตน (Personal Vission) เมื่อลงมือกระทำและต้องมุ่งมั่นสร้างสรรจึงจำเป็นต้องมี แรงมุ่งมั่นใฝ่ดี (Creative Tention) มีการใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อคิดวิเคราะห์และตัดสินใจ (Commitment to the Truth) ที่ทำให้มีระบบการคิดตัดสินใจที่ดี รวมทั้งใช้การฝึกจิตใต้สำนึกในการทำงาน (Using Subconciousness) ทำงานด้วยการดำเนินไปอย่างอัตโนมัติ </li>
<li>Mental models <br />มุ่งสะท้อนความคิด ทัศนคติ และการยอมรับทั้งของตนเองและคนรอบข้าง ซึ่งจะพัฒนาต่อเป็นพื้นฐานด้านอารมณ์ (EQ)ของคน ผลลัพธ์ที่จะเกิดจากรูปแบบแนวคิดนี้จะออกมาในรูปของผลลัพธ์ 3 ลักษณะคือ เจตคติ หมายถึง ท่าที หรือความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เหตุการณ์ หรือเรื่องราวใด ๆ ทัศนคติแนวความคิดเห็นและกระบวนทัศน์ กรอบความคิด แนวปฏิบัติที่เราปฏิบัติตาม ๆ กันไป จนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์การ </li>
<li>Share vision <br />มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมทางความคิด การมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้แนวคิดที่ดีที่สุดและเป็นที่ยอมรับของทุกคน ลักษณะวิสัยทัศน์องค์กรที่ดี คือ กลุ่มผู้นำจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการพัฒนาวิสัยทัศน์อย่างจริงจัง วิสัยทัศน์นั้นจะต้องมีรายละเอียดชัดเจน เพียงพอที่จะนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติได้</li>
<li>Team learning <br />การแลกเปลี่ยนความคิด การเรียนรู้และการพึ่งพาซึ่งกันและกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม และขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก คือ IQ และ EQ ประสานควบคู่กับการเรียนรู้ร่วมกันและการสร้างภาวะผู้นำแก่ผู้นำองค์กรในทุกระดับ </li>
<li>System thinking <br />การคิดอย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการ มีเหตุ และผล ซึ่งการคิดอย่างเป็นระบบนี้จะพัฒนาขึ้นตามวัย ส่วนจะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่ง ทุกคนควรมีความสามารถในการเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบ นอกจากจะมองภาพรวมแล้ว ต้องมองรายละเอียดของส่วนประกอบย่อยในภาพนั้นให้ออกด้วย วินัยข้อนี้สามารถแก้ไขปัญหาที่สลับซับซ้อนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี</li>
</ol>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcUQne7mzn3CeHuJkMTcNo4HBMp0nWfWsxqscyZiBj0vnJPq2dG7l2avrwd4tiRp_WNtNgecKuZHbfFewollv_jCnXMlcKc20T1gnsbUa4XvvlvgjeuNXVhOvG1e8O1cAGZRickWB9wtM/s1600/10learning_ecology.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcUQne7mzn3CeHuJkMTcNo4HBMp0nWfWsxqscyZiBj0vnJPq2dG7l2avrwd4tiRp_WNtNgecKuZHbfFewollv_jCnXMlcKc20T1gnsbUa4XvvlvgjeuNXVhOvG1e8O1cAGZRickWB9wtM/s1600/10learning_ecology.gif" /></a></div>
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-4135484629593432292012-06-24T07:01:00.001+07:002012-06-24T07:01:49.552+07:0010.3 องค์ประกอบของการเรียนรู้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhToEupuky16pr9SK4U80jtNrYLcP8natFV8inOxdEFdbRsWcEz277VOfcXAwmqoc10Dxo6f9EjGYW5PrH7NsJ6bZS2-Liv_r9xzKrwwWAKw1CLsXCMHZqOTJT9nrx5vQ913_Dbb6iO8PI/s1600/10WhatCanWeExpect.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhToEupuky16pr9SK4U80jtNrYLcP8natFV8inOxdEFdbRsWcEz277VOfcXAwmqoc10Dxo6f9EjGYW5PrH7NsJ6bZS2-Liv_r9xzKrwwWAKw1CLsXCMHZqOTJT9nrx5vQ913_Dbb6iO8PI/s1600/10WhatCanWeExpect.jpg" /></a></div>
<br />
<div>
</div>
ในส่วนขององค์ประกอบของการเรียนรู้ ที่ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้นั้น ประกอบด้วย<br />
<ol>
<li><span style="color: red;">สิ่งเร้า (Stimulus)</span> <div>
เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้บุคคลมีปฏิกิริยาโต้ตอบออกมาและเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมว่าจะแสดงออกมาในลักษณะใด สิ่งเร้าอาจเป็นเหตุการณ์หรือวัตถุและอาจเกิดภายในหรือภายนอกร่างกายก็ได้ เช่น เสียงนาฬิกาที่ปลุกให้เราตื่น หรือกำหนดวันสอบเร้าให้เราเตรียมสอบ หรือครูผู้สอนกำหนดหัวเรื่องให้เราต้องค้นคว้าในการทำรายงาน</div>
</li>
<li><span style="color: red;">แรงขับ (Drive)</span> มี 2 ประเภท คือ <div>
<span style="color: #cc0000;">2.1 แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive)</span> เช่น ความหิว ความกระหาย การต้องการพักผ่อน เป็นต้น </div>
<div>
<span style="color: #cc0000;">2.2 แรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive)</span> เป็นเรื่องของความต้องการทางจิตและทางสังคม เช่น ความวิตกกังวล ความต้องการความรัก ความปลอดภัย เป็นต้น แรงขับทั้งสองประเภทเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอันจะนำไปสู่การเรียนรู้ </div>
</li>
<li><span style="color: red;">การตอบสนอง (Response)</span> <div>
เป็นพฤติกรรมต่างๆ ที่บุคคลแสดงออกมาเมื่อได้รับการ กระตุ้นจากสิ่งเร้าต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานการณ์ อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งแวดล้อมที่รอบตัวเรานั่นเอง </div>
</li>
<li><span style="color: red;">แรงเสริม (Reinforcement) </span><div>
สิ่งที่มาเพิ่มกำลังให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับ การตอบสนอง เช่น รางวัล การตำหนิ การลงโทษ การชมเชย เงิน ของขวัญ เป็นต้น </div>
</li>
</ol>
<br />
<div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTYsd0fUgrG_wY2ylGXDJOsy9qBCAbsIusR53c7haY5Q62rbwGxkS58ppCbyoutLVuqtUsxoYTaO1i4fGCakGmamJxznC61V8fcnJK9GKCOA5Uqzsc77zjwnBrDljDyN7qd2Wd_iN6LWU/s1600/404.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTYsd0fUgrG_wY2ylGXDJOsy9qBCAbsIusR53c7haY5Q62rbwGxkS58ppCbyoutLVuqtUsxoYTaO1i4fGCakGmamJxznC61V8fcnJK9GKCOA5Uqzsc77zjwnBrDljDyN7qd2Wd_iN6LWU/s1600/404.jpg" /></a></div>
<br />
<div>
</div>
<strong>การเกิดกระบวนการของการเรียนรู้</strong> <br />
<br />
มีขั้นตอนดังนี้ คือ<br />
<ol>
<li>มีสิ่งเร้า( Stimulus ) มาเร้าอินทรีย์ ( Organism ) </li>
<li>อินทรีย์เกิดการรับสัมผัส ( Sensation ) ประสาทสัมผัสทั้งห้า ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย </li>
<li>ประสาทสัมผัสส่งกระแสสัมผัสไปยังระบบประสาทเกิดการรับรู้ ( Perception ) </li>
<li>สมองแปลผลออกมาว่าสิ่งที่สัมผัสคืออะไรเรียกว่าความคิดรวบยอด ( Conception ) </li>
<li>พฤติกรรมได้รับคำแปลผลทำให้เกิดความคิดรวบยอดก็จะเกิดการเรียนรู้ ( Learning )</li>
<li>เมื่อเกิดกระบวนการเรียนรู้บุคคลก็จะเกิดการตอบสนอง ( Response ) พฤติกรรมนั้นๆ</li>
</ol>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-75062425174120184442012-06-19T06:26:00.000+07:002012-06-19T06:26:44.570+07:0010.2 ความหมายของการเรียนรู้การเรียนรู้ มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าการสั่งสอน หรือการบอกเล่าให้เข้าใจและจำได้เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของการทำตามแบบ ไม่ได้มีความหมายต่อการเรียนในวิชาต่างๆเท่านั้น แต่ความหมายคลุมไปถึง การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมอันเป็นผลจากการสังเกตพิจารณา ไตร่ตรอง แก้ปัญหาทั้งปวงและไม่ชี้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปในทางที่สังคมยอมรับเท่านั้น <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC3z__mg_GWIto0HE5md6GHNO7A6lbz3NXOhLbHOr7Hm3myF8ezkpIh49owKiHh2SiOuhD1PwzfNEVOSvUdI7H7jKrbxwExnEDcqsNm8SzqI_2YPmnO8n1pqgaD4nCkttCdMpF-Ob5Oeo/s1600/learning.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC3z__mg_GWIto0HE5md6GHNO7A6lbz3NXOhLbHOr7Hm3myF8ezkpIh49owKiHh2SiOuhD1PwzfNEVOSvUdI7H7jKrbxwExnEDcqsNm8SzqI_2YPmnO8n1pqgaD4nCkttCdMpF-Ob5Oeo/s320/learning.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
<strong>ความหมายของการเรียนรู้</strong> <br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้</span> เป็นการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม <br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้</span> เป็นความเจริญงอกงาม เน้นว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เป็นการเรียนรู้ต้องเนื่องมาจากประสบการณ์ หรือการฝึกหัด และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นควรจะต้องมีความคงทนถาวรเหมาะแก่เหตุ เมื่อพฤติกรรมดั้งเดิมเปลี่ยนไปสู่พฤติกรรมที่มุ่งหวัง ก็แสดงว่าเกิดการเรียนรู้แล้ว <br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้</span> หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมในการแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถาณการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง <br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้</span> หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อันมีผลมาจากการได้มีประสบการณ์ <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKzfY8pPzw9tKA0eNlFw-zIBT8SPzrkO_KmJvKYI0Zh4ZU1h8KZnVz9MC8ijqF2vnBL5_yp8MxllEQdIndLyTGJ2_bxVLSLP2wujuRIKpuU66hJdMcGhOkWCWE8bxhIJYeayLrr85lmwU/s1600/10405.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="124" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKzfY8pPzw9tKA0eNlFw-zIBT8SPzrkO_KmJvKYI0Zh4ZU1h8KZnVz9MC8ijqF2vnBL5_yp8MxllEQdIndLyTGJ2_bxVLSLP2wujuRIKpuU66hJdMcGhOkWCWE8bxhIJYeayLrr85lmwU/s640/10405.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้</span> หมายถึง กระบวนการที่ทำให้เกิดกิจกรรม หรือ กระบวนการที่ทำให้กิจกรรมเปลี่ยนแปลงไป โดยเป็นผลตอบสนองจากสภาพการณ์หนึ่งซึ่งไม่มช่ปฏิกิริยาธรรมชาติไม่ใช่วุฒิภาวะ และไม่ใช่สภาพการเปลี่ยนแปลงของร่างกายชั่วครั้งชั่วคราวที่เนื่องมาจากความเหนื่อยล้าหรือฤทธิ์ยา <br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้</span> หมายถึง กระบวนการที่เนื่องมาจากประสบการณ์ตรง และประสบการณ์อ้อมกระทำให้อินทรีย์เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร <br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้</span> หมายถึง การเปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวรในพฤติกรรม ซึ่งเป็นผลของการฝึกหัด <br />
<br />
............................ <strong><span style="color: red;">จากความหมายของการเรียนรู้ข้างต้นอาจสรุปได้ว่า</span></strong> .................................<br />
<br />
<span style="color: blue;">การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลจากการที่บุคคลทำกิจกรรมใดๆ ทำให้เกิดประสบการณ์และเกิดทักษะต่างๆ ขึ้นยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร</span><br />
<br />
<div>
</div>
<strong>ความหมายของหลักการเรียนรู้</strong> <br />
หลักการเรียนรู้ (Learning Principle) <br />
หมายถึงข้อความรู้ย่อยๆ ที่พรรณา / อธิบาย / ทำนาย ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ ทดสอบ ตามกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และได้รับการยอมรับว่าเชื่อถือได้ สามารถนำไปใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้ หลักการเรียนรู้หลายๆ หลักการ อาจนำไปสู่การสร้างเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ได้<br />
<br />
แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ (Teaching / Instruction Theory)<br />
คือความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ ที่พรรณา / อธิบาย / ทำนายปรากฏการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ ที่นักคิด นักจิตวิทยา หรือนักการศึกษาได้นำเสนอและได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งว่าเป็นแนวคิดที่น่าเชื่อถือด้วย เหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_RBEZLZAg4IxeYeb5WvL6Xs8s6JCW6wjrLWZ6wyUPfyP1VWcOve_srtyjZZEReDD2vDSenGdTTH-B9gspxrAsZwBZ083NQgzFBWLu6dCGIO_Qxd6OncM5WBLljPjMJ4FRfJ9nWlwcLLE/s1600/10403.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="124" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_RBEZLZAg4IxeYeb5WvL6Xs8s6JCW6wjrLWZ6wyUPfyP1VWcOve_srtyjZZEReDD2vDSenGdTTH-B9gspxrAsZwBZ083NQgzFBWLu6dCGIO_Qxd6OncM5WBLljPjMJ4FRfJ9nWlwcLLE/s640/10403.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<strong>ธรรมชาติของการเรียนรู้</strong> <br />
นักจิตวิทยาเชื่อว่ามนุษย์จะมีการเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ได้ทำกิจกรรมใดๆ แล้วเกิดประสบการณ์ ซึ่งประสบการณ์ที่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาสิ่งที่เรียนรู้นั้นจนเกิดเป็นทักษะ และความชำนาญในที่สุด ดังนั้นการเรียนรู้ของมนุษย์ก็จะอยู่กับตัวของมนุษย์เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร <br />
<br />
โดยสรุปธรรมชาติของการเรียนรู้ของมนุษย์มีอยู่หลายประการ อาทิ<br />
<ol>
<li>การเรียนรู้คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร </li>
<li>การเรียนรู้ย่อมมีการแก้ไข ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ จะต้องเนื่องมาจากประสบการณ์ </li>
<li>การเปลี่ยนแปลงชั่วครั้งชั่วคราวไม่นับว่าเป็นการเรียนรู้ </li>
<li>การเรียนรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมต้องอาศัยการสังเกตพฤติกรรม </li>
<li>การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่บุคคลมีชีวิตอยู่ โดยอาศัยประสบการณ์ในชีวิต </li>
<li>การเรียนรู้ไม่ใช่วุฒิภาวะแต่อาศัยวุฒิภาวะ วุฒิภาวะคือระดับความเจริญเติบโตสูงสุดของพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาของบุคคลในแต่ละช่วงวัยที่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่การเรียนรู้ไม่ใช่วุฒิภาวะแต่ต้องอาศัยวุฒิภาวะประกอบกัน </li>
<li>การเรียนรู้เกิดได้ง่ายถ้าสิ่งที่เรียนเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน </li>
<li>การเรียนรู้ของแต่ละคนแตกต่างกัน</li>
<li>การเรียนรู้ย่อมเป็นผลให้เกิดการสร้างแบบแผนของพฤติกรรมใหม่ </li>
<li>การเรียนรู้อาจจะเกิดขึ้นโดยการตั้งใจหรือเกิดโดยบังเอิญก็ได้</li>
</ol>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-874527713784193062012-06-19T06:16:00.002+07:002012-06-19T06:16:48.538+07:0010.1 แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Ecology)<strong>การเรียนรู้(Learning Ecology)</strong><br />
<div>
การเรียนรู้ คือ กระบวนการที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางความคิด มนุษย์เราสามารถเรียนรู้ได้จาก การได้ยิน การสัมผัส การอ่าน การเห็น รวมถึงผ่านการใช้ สื่อ อุปกรณ์ เครื่องมือ เป็นส่วนส่งผ่าน</div>
<br />
<strong>ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theory)</strong> <br />
หมายถึงข้อความรู้ที่พรรณา / อธิบาย / ทำนาย ปรากฏการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ ทดสอบตามกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และได้รับการยอมรับว่าเชื่อถือได้ และสามารถนำไปนิรนัยเป็นหลักหรือกฎการเรียนรู้ย่อยๆ หรือนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้แก่ผู้เรียนได้ ทฤษฎีโดยทั่วไปมักประกอบด้วยหลักการย่อยๆ หลายหลักการ<br />
ในเรื่องของการเรียนรู้ มีผู้ให้ความหมายของคำว่าการเรียนรู้ไว้หลากหลาย นักการศึกษาต่างมีแนวคิด โดยนำมาจากพัฒนาการของมนุษย์ ในแง่มุมต่างๆ เกิดเป็นทฤษฎีที่แตกต่างกันไป อาทิ<br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้ (Learning)</span> <br />
คือ กระบวนการของประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มาจากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะ หรือสัญชาตญาณ(Klein 1991:2)<br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้ (Learning)</span> <br />
คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจากประสบการณ์ ( ประสบการณ์ตรงหรือประสบการณ์ทางอ้อม) <br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้ (Learning)</span> <br />
คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมหรือจากการฝึกหัด (สุรางค์ โค้วตระกูล :2539) <br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้</span> <br />
คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจากประสบการณ์หรือการฝึกหัด และพฤติกรรมนั้นอาจจะคงอยู่ระยะหนึ่ง หรือตลอดไปก็ได้ <br />
<br />
<span style="color: red;">การเรียนรู้ (Learning)</span> <br />
คือ กระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน รวมทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcUQne7mzn3CeHuJkMTcNo4HBMp0nWfWsxqscyZiBj0vnJPq2dG7l2avrwd4tiRp_WNtNgecKuZHbfFewollv_jCnXMlcKc20T1gnsbUa4XvvlvgjeuNXVhOvG1e8O1cAGZRickWB9wtM/s1600/10learning_ecology.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcUQne7mzn3CeHuJkMTcNo4HBMp0nWfWsxqscyZiBj0vnJPq2dG7l2avrwd4tiRp_WNtNgecKuZHbfFewollv_jCnXMlcKc20T1gnsbUa4XvvlvgjeuNXVhOvG1e8O1cAGZRickWB9wtM/s1600/10learning_ecology.gif" /></a></div>
<div>
</div>
<strong>ทฤษฎีการเรียนรู้(Learning Theory)</strong> <br />
มนุษย์สามารถรับข้อมูลโดยผ่านเส้นทางการรับรู้ 3 ทาง คือ<br />
<ol>
<li>พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) </li>
<li>ปัญญานิยม (Cognitivism) </li>
<li>การสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยปัญญา (Constructivism)</li>
</ol>
<br />
<strong>พฤติกรรมนิยม (Behaviorism)</strong><br />
พฤติกรรมนิยมมองผู้เรียนเหมือนกับ กระดานชนวนที่ว่างเปล่าผู้สอนเตรียม ประสบการณ์ให้กับผู้เรียน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เรียน อาจ กระทำซ้ำจนกลายเป็นพฤติกรรม ผู้เรียนทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับฟังและจะไม่ทำการคิดริเริ่มหา หนทางด้วยตนเองต่อการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่ง ต่างๆ ให้ดีขึ้น <br />
<br />
<strong>ปัญญานิยม (Cognitivism)</strong><br />
ปัญญานิยมอยู่บนฐานของกระบวนการคิดก่อน แสดงพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมที่จะถูกสังเกต สิ่งเหล่านั้น มันก็เป็นเพียงแต่การบ่งชี้ว่าสิ่งนี้ กำลังดำเนินต่อไปในสมองของผู้เรียน เท่านั้น ทักษะใหม่ๆ ที่จะทำ การสะท้อนส่งออกมา กระบวนการประมวลผลข้อมูลสารสนเทศทางปัญญา <br />
<br />
<strong>การสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยปัญญา (Constructivism)</strong><br />
การสร้างสรรค์ความรู้ด้วยปัญญาอยู่บนฐานของ การอ้างอิงหลักฐานในสิ่งที่พวกเราสร้างขึ้นแสดงให้ปรากฏแก่สายตาของ เราด้วยตัวของเราเอง และอยู่บนฐานประสบการณ์ของแต่ละบุคคล องค์ความรู้จะถูกสร้างขึ้นโดยผู้เรียน และโดยเหตุผลที่ทุกคนต่างมีชุดของประสบการณ์ต่างๆ ของการเรียนรู้จึงมีลักษณะเฉพาะตน และมี ความแตกต่างกันไปในแต่ละคน<br />
<br />
ทั้งสามทฤษฏีต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เมื่อได้การตัดสินใจที่จะใช้ยุทธศาสตร์นี้ มีสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุดของชีวิตที่ต้องพิจารณาทั้งสองระดับ คือ ระดับองค์ความรู้ของนักเรียนของท่าน และระดับการประมวลผลทางสติปัญญาที่ ต้องการในผลงานหรือภาระงานแห่งการเรียนรู้ ระดับการประมวลผลทางสติปัญญาที่ ต้องการสร้างผลงาน/ภาระงาน และระดับความชำนิชำนาญของนักเรียนของเรานี้ การมองหาภาพทางทฤษฎี จะมีความเป็นไปได้ที่สนับสนุนการมีความ พยายามที่จะเรียนรู้ทางยุทธวิธีบางทีก็มีความซับซ้อนและมีความเลื่อมล้ำกันอยู่บ้าง และก็มีความจำเป็นเหมือนๆ กัน ในการวบรวมยุทธวิธีต่าง ๆ จากความแตกต่างที่เป็นจริง ทางทฤษฎี เมื่อเรามีความต้องการ<br />
<span style="color: blue; font-size: x-small;">ที่มา : ไตรรงค์ เจนการ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, สพฐ</span><br />
<br />
<div>
<strong>การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Bloom ( Bloom's Taxonomy)</strong> </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaUFqf5bOpeCuSaJwYtTGcdosB1M4GeNRuMrMXp6fBdD4f42LTRp1LL2ClxOnyEcDW8OmRScjqB_J00M0OuMjBagNDfpiJaZu6hacAvVpdqDijcRj_0eJrshAj3d-hmDgGVMgJhAH8usc/s1600/10bloompyramid.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgaUFqf5bOpeCuSaJwYtTGcdosB1M4GeNRuMrMXp6fBdD4f42LTRp1LL2ClxOnyEcDW8OmRScjqB_J00M0OuMjBagNDfpiJaZu6hacAvVpdqDijcRj_0eJrshAj3d-hmDgGVMgJhAH8usc/s1600/10bloompyramid.gif" /></a></div>
<div>
</div>
Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ <br />
<ol>
<li><span style="color: red;">ความรู้ที่เกิดจากความจำ (knowledge)</span> ซึ่งเป็นระดับล่างสุด</li>
<li><span style="color: red;">ความเข้าใจ (Comprehension)</span></li>
<li><span style="color: red;">การประยุกต์ (Application)</span> </li>
<li><span style="color: red;">การวิเคราะห์ ( Analysis)</span> สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้ </li>
<li><span style="color: red;">การสังเคราะห์ ( Synthesis)</span> สามารถนำส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ให้แตกต่างจากรูปเดิม เน้นโครงสร้างใหม่ </li>
<li><span style="color: red;">การประเมินค่า ( Evaluation)</span> วัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด ประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด </li>
</ol>
<br />
<div>
</div>
<strong>การเรียนรู้ตามทฤษฎีของเมเยอร์ ( Mayor)</strong><br />
ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์ความจำเป็นเป็นสิ่งสำคัญ และตามด้วยจุดประสงค์ของการเรียน โดยแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ 3 ส่วนด้วยกัน <br />
<span style="color: red;">พฤติกรรม</span> ควรชี้ชัดและสังเกตได้ <br />
<span style="color: red;">เงื่อนไข</span> พฤติกรรมสำเร็จได้ควรมีเงื่อนไขในการช่วยเหลือ <br />
<span style="color: red;">มาตรฐาน</span> พฤติกรรมที่ได้นั้นสามารถอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด <br />
ผู้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง เนื้อหาควรถูกสร้างในภาพรวมความต่อเนื่อง (continuity)<br />
<br />
<div>
</div>
<strong>การเรียนรู้ตามทฤษฎีของบรูเนอร์ (Bruner)</strong> <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitiwxpqL-j1zNYarS7sMQSpulY4Rs3ETOfN63R7tvc5U_1Gm5V5P1QtrrY8ToW6YJ2BguCiSxFul0R0J4Nsl7WYFYdIpnD8ZiUCJ0qxwmWI5ywqoQLS69Ea_oow9gGfz_3ohJG9_yFqRI/s1600/10Bruner.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitiwxpqL-j1zNYarS7sMQSpulY4Rs3ETOfN63R7tvc5U_1Gm5V5P1QtrrY8ToW6YJ2BguCiSxFul0R0J4Nsl7WYFYdIpnD8ZiUCJ0qxwmWI5ywqoQLS69Ea_oow9gGfz_3ohJG9_yFqRI/s1600/10Bruner.gif" /></a></div>
<div>
</div>
ความรู้ถูกสร้างหรือหล่อหลอมโดยประสบการณ์ ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบในการเรียน ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความหมายขึ้นมาจากแง่มุมต่างๆ ผู้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง ผู้เรียนเลือกเนื้อหาและกิจกรรมเอง เนื้อหาควรถูกสร้างในภาพรวม <br />
<br />
<div>
</div>
<strong>การเรียนรู้ตามทฤษฎีของไทเลอร์ (Tylor)</strong><br />
<span style="color: red;">ความต่อเนื่อง (continuity)</span> หมายถึง ในวิชาทักษะ ต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบการณ์บ่อยๆ และต่อเนื่องกัน <br />
<br />
<span style="color: red;">การจัดช่วงลำดับ (sequence)</span> หมายถึง หรือการจัดสิ่งที่มีความง่าย ไปสู่สิ่งที่มีความยาก ดังนั้นการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ ให้มีการเรียงลำดับก่อนหลัง เพื่อให้ได้เรียนเนื้อหาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น<br />
<br />
<span style="color: red;">บูรณาการ (integration)</span> หมายถึง การจัดประสบการณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียน ได้เพิ่มพูนความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน เนื้อหาที่เรียนเป็นการเพิ่มความสามารถทั้งหมด ของผู้เรียนที่จะได้ใช้ประสบการณ์ได้ในสถานการณ์ต่างๆ กัน<br />
<br />
ประสบการณ์การเรียนรู้ จึงเป็นแบบแผนของ ปฏิสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างผู้เรียนกับสถานการณ์ที่แวดล้อม <br />
<br />
<div>
</div>
<strong>ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขั้น ของกาเย่ ( Gagne )</strong> <br />
ทฤษฎีของกาเย่นี้จะให้ความสำคัญในการจัดลำดับขั้นการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้สิ่งเร้า สิ่งแวดล้อมภายนอกกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ และสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน ว่ามีการตอบสนองอย่างไร เพื่อที่จะจัดลำดับขั้นของการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ถูกต้อง<br />
ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขั้น ประกอบด้วย <br />
<ul>
<li><span style="color: red;">การจูงใจ ( Motivation Phase)</span> การคาดหวังของผู้เรียนเป็นแรงจูงใจในการเรียนรู้ </li>
<li><span style="color: red;">การรับรู้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Apprehending Phase)</span> ผู้เรียนจะรับรู้สิ่งที่สอดคล้องกับความตั้งใจ </li>
<li><span style="color: red;">การปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ไว้เป็นความจำ ( Acquisition Phase)</span> เพื่อให้เกิดความจำระยะสั้นและระยะยาว </li>
<li><span style="color: red;">ความสามารถในการจำ (Retention Phase)</span> </li>
<li><span style="color: red;">ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว (Recall Phase ) </span></li>
<li><span style="color: red;">การนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว (Generalization Phase) </span></li>
<li><span style="color: red;">การแสดงออกพฤติกรรมที่เรียนรู้ ( Performance Phase) </span></li>
<li><span style="color: red;">การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน ( Feedback Phase)</span>ผู้เรียนได้รับทราบผลเร็ว จะทำให้มีผลดี และประสิทธิภาพสูง </li>
</ul>
<strong>องค์ประกอบที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้</strong> <br />
องค์ประกอบที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ คือ <br />
<ul>
<li><span style="color: red;">ผู้เรียน ( Learner)</span> มีระบบสัมผัสและระบบประสาทในการรับรู้ </li>
<li><span style="color: red;">สิ่งเร้า ( Stimulus)</span> คือ สถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นสิ่งเร้าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ </li>
<li><span style="color: red;">การตอบสนอง (Response)</span> คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ </li>
</ul>
<strong>การสอนด้วยสื่อตามแนวคิดของกาเย่</strong> <br />
<ul>
<li><span style="color: red;">เร้าความสนใจ</span> มีโปรแกรมที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เช่น ใช้ การ์ตูน หรือ กราฟิกที่ดึงดูดสายตา</li>
<li><span style="color: red;">ความอยากรู้อยากเห็น</span>จะเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียน การตั้งคำถามก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง</li>
<li><span style="color: red;">บอกวัตถุประสงค์</span> ผู้เรียนควรทราบถึงวัตถุประสงค์ ให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียนเพื่อให้ทราบว่าบทเรียนเกี่ยวกับอะไร</li>
<li><span style="color: red;">กระตุ้นความจำผู้เรียน</span> สร้างความสัมพันธ์ในการโยงข้อมูลกับความรู้ที่มีอยู่ก่อน เพราะสิ่งนี้สามารถทำให้เกิดความทรงจำในระยะยาวได้เมื่อได้โยงถึงประสบการณ์ผู้เรียน โดยการตั้งคำถาม เกี่ยวกับแนวคิด หรือเนื้อหานั้นๆ</li>
<li><span style="color: red;">เสนอเนื้อหา</span> ขั้นตอนนี้จะเป็นการอธิบายเนื้อหาให้กับผู้เรียน โดยใช้สื่อชนิดต่างๆ ในรูป กราฟิก หรือ เสียง วิดีโอ</li>
<li><span style="color: red;">การยกตัวอย่าง</span> การยกตัวอย่างสามารถทำได้โดยยกกรณีศึกษา การเปรียบเทียบ เพื่อให้เข้าใจได้ซาบซึ้ง</li>
<li><span style="color: red;">การฝึกปฏิบัติ</span> เพื่อให้เกิดทักษะหรือพฤติกรรม เป็นการวัดความเข้าใจว่าผู้เรียนได้เรียนถูกต้อง เพื่อให้เกิดการอธิบายซ้ำเมื่อรับสิ่งที่ผิด</li>
<li><span style="color: red;">การให้คำแนะนำเพิ่มเติม</span> เช่น การทำแบบฝึกหัด โดยมีคำแนะนำ</li>
<li><span style="color: red;">การสอบ</span> เพื่อวัดระดับความเข้าใจ</li>
<li><span style="color: red;">การนำไปใช้</span> กับงานที่ทำในการทำสื่อควรมี เนื้อหาเพิ่มเติม หรือหัวข้อต่างๆ ที่ควรจะรู้เพิ่มเติม</li>
</ul>
<span style="font-size: x-small;">อ้างอิง : วิกิพีเดีย</span><br />
<br />
<div>
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpiS8WDiKJhOn-QUikmLnN8Xq73pwuQNdz-SESNL1a1pSglHg7KiIDIDU8LOHr0BqPBnrNkH9ek9i-akCHe_FRl34WIURjzg934mnRX6V8xDD5Bg2ILOWGRi2nUCUJOcHhsMLMdOPydUc/s1600/10gagne01.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpiS8WDiKJhOn-QUikmLnN8Xq73pwuQNdz-SESNL1a1pSglHg7KiIDIDU8LOHr0BqPBnrNkH9ek9i-akCHe_FRl34WIURjzg934mnRX6V8xDD5Bg2ILOWGRi2nUCUJOcHhsMLMdOPydUc/s1600/10gagne01.gif" /></a></div>
<br />
<div>
</div>
<table align="center" border="1" bordercolor="#000000" cellpadding="2" cellspacing="1">
<tbody>
<tr class="textBody-small">
<td align="center" bgcolor="#0cefef" class="textBody-smallBold" width="47%">Gagne's Nine Events of Instruction</td>
<td align="center" bgcolor="#afafe4" class="textBody-smallBold" width="53%">Events of Cognitive/Learning Process</td></tr>
<tr class="textBody-small">
<td bgcolor="#c6f0f2">1. Gaining attention </td>
<td bgcolor="#dbdbf2">Reception / Motivation</td></tr>
<tr class="textBody-small">
<td bgcolor="#c6f0f2">2. Informing learners of objective</td>
<td bgcolor="#dbdbf2">Establishment of expectancies</td></tr>
<tr class="textBody-small">
<td bgcolor="#c6f0f2">3. Stimulating recall of prior learning</td>
<td bgcolor="#dbdbf2">Retrieval (from long-term memory)</td></tr>
<tr class="textBody-small">
<td bgcolor="#c6f0f2">4. Presenting stimulus material</td>
<td bgcolor="#dbdbf2">Selective perception</td></tr>
<tr class="textBody-small">
<td bgcolor="#c6f0f2">5. Providing learning guidance</td>
<td bgcolor="#dbdbf2">Semantic encoding</td></tr>
<tr class="textBody-small">
<td bgcolor="#c6f0f2">6. Eliciting performance (practice)</td>
<td bgcolor="#dbdbf2">Response generation</td></tr>
<tr class="textBody-small">
<td bgcolor="#c6f0f2">7. Providing feedback </td>
<td bgcolor="#dbdbf2">Reinforcement</td></tr>
<tr class="textBody-small">
<td bgcolor="#c6f0f2">8. Assessing performance</td>
<td bgcolor="#dbdbf2">Metacognition</td></tr>
<tr class="textBody-small">
<td bgcolor="#c6f0f2">9. Enhancing retention and transfer</td>
<td bgcolor="#dbdbf2">Generalization</td></tr>
</tbody></table>
<br />
According to Robert Gagne, there are nine events that activate processes needed for effective learning. Each event (called a "phase") is placed under a "stage of learning": <br />
<br />
<div>
</div>
<span style="font-size: large;">Stage 1: Preparation for Learning</span><br />
<span style="color: red;">Phase 1</span>: Attending—Learner is alerted to stimulus<br />
Instruct by: gain attention through unusual events or questioning<br />
<br />
<span style="color: red;">Phase 2</span>: Expectancy—Learn about goals<br />
Instruct by: inform of objectives<br />
<br />
<span style="color: red;">Phase 3</span>: Retrieval—Recalling<br />
Instruct by: recall prior knowledge or skills<br />
<br />
<span style="font-size: large;">Stage 2: Acquisition and Performance</span><br />
<span style="color: red;">Phase 4</span>: Selective perception of stimulus feature—store to working memory<br />
Instruct by: presenting distinctive features<br />
<br />
<span style="color: red;">Phase 5</span>: Semantic Encoding—information from working memory to long term memory<br />
Instruct by: providing guidance<br />
<br />
<span style="color: red;">Phase 6</span>: Retrieval and Responding—retrieve info and activates response<br />
Instruct by: elicit performance<br />
<br />
<span style="color: red;">Phase 7</span>: Reinforcement—confirms goal<br />
Instruct by: providing feedback<br />
<br />
<span style="font-size: large;">Stage 3: Transfer of Learning</span><br />
<span style="color: red;">Phase 8</span>: Cueing Retrieval—additional cues for recalling later<br />
Instruct by: assessing the performance<br />
<br />
<span style="color: red;">Phase 9</span>: Generalizability—Enhances transfer of learning to new skills<br />
Instruct by: elicit performace with new examples<br />
อ้างอิง : <a href="http://human-learning.wikispaces.com/Chapter+5+The+Cognitive+Perspective">http://human-learning.wikispaces.com/Chapter+5+The+Cognitive+Perspective</a><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEe3B79n8nsq8s5eRSGvibNj5BV5_Pvq7e_BJ8CSSjiCClRhPtbRBIxZd2jskuvU2yL6_uZcS95HXxxP69MT3GMTVb_1vYEjxJxnPNQ1HcCm1dSijfG2_4fOho-Z_JU9h_pugIrrekyQQ/s1600/10leon_fig07.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="107" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEe3B79n8nsq8s5eRSGvibNj5BV5_Pvq7e_BJ8CSSjiCClRhPtbRBIxZd2jskuvU2yL6_uZcS95HXxxP69MT3GMTVb_1vYEjxJxnPNQ1HcCm1dSijfG2_4fOho-Z_JU9h_pugIrrekyQQ/s640/10leon_fig07.jpg" width="640" /></a></div>
<div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFGgXT-XKDD87_vqnWg8USUd8QmTIbw7TYrSe_0RMv9I62SxX_QZvovgzh7BAZLavzQIOEo_R5BlgFKSczo-WSHcQrPi7rnrWywii587NVg5wNznnXoHriW7vpU4Wvr1FTqMczA4lfrzg/s1600/10brain01.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFGgXT-XKDD87_vqnWg8USUd8QmTIbw7TYrSe_0RMv9I62SxX_QZvovgzh7BAZLavzQIOEo_R5BlgFKSczo-WSHcQrPi7rnrWywii587NVg5wNznnXoHriW7vpU4Wvr1FTqMczA4lfrzg/s1600/10brain01.jpg" /></a></div>
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4312812035550214051.post-45743260664367240382012-06-18T06:14:00.000+07:002012-06-18T06:31:47.288+07:009.3 แนวทางการออกแบบสื่อภาพเคลื่อนไหว<strong>ลักษณะและรูปแบบของสื่อภาพเคลื่อนไหว</strong><br />
<br />
<div>
</div>
สื่อภาพเคลื่อนไหว (animation) หมายถึง สื่อที่สร้างจากภาพนิ่งหลายๆภาพต่อเนื่องกัน แล้วแสดงผลตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือจากการใช้เทคนิคทางโปรแกรมเพื่อกำหนดให้องค์ประกอบในฉากเคลื่อนที่ไปตามจุดหรือตำแหน่งที่ต้องการ <br />
ลักษณะของสื่อภาพเคลื่อนไหว ที่มีอยู่ในโลกของไฟล์บนระบบคอมพิวเตอร์ มีอยู่ 2 ลักษณะ<br />
<ol>
<li>GIF animation</li>
<li>Flash animation</li>
<li>Script Interactive animation</li>
</ol>
<br />
<div>
</div>
<strong> ลักษณะและรูปแบบของสื่อภาพเคลื่อนไหว : GIF animation</strong> <br />
<br />
<div>
</div>
<div style="text-align: center;">
<iframe frameborder="0" height="1000" noresize="noresize" scrolling="No" src="http://www.northnfe.org/itedu/chap09/_create_animation.php" width="600"></iframe></div>
<br />
<div>
<strong>แนวทางการออกแบบ ผลิต และพัฒนาสื่อภาพเคลื่อนไหว</strong></div>
<br />
ปัจจุบันการสร้างไฟล์ภาพเคลื่อนไหวในแบบปกติที่นิยมใช้กัน โดยสรุปแล้วจะมี 2 วิธีการ <br />
1. วิธีเรียงด้วยไฟล์ภาพนิ่ง <br />
วิธีนี้เป็นการนำไฟล์ภาพนิ่งมาเรียงแบบต่อเนื่อง สามารถใช้โปรแกรมประเภทที่สร้าง GIF animation หรือโปรแกรมประเภท Flash ก็ได้<br />
2. วิธีกำหนดการเคลื่อนไหวของตัววัตถุบนพื้นที่แสดง<br />
ลักษณะเช่นนี้ โปรแกรมที่สร้างงานจะเป็นโปรแกรมประเภท Flash โดยเฉพาะ<br />
คำแนะนำในการพัฒนาสร้างไฟล์สื่อภาพเคลื่อนไหว <br />
1. กรณีใช้ภาพนิ่งมาต่อร้อยเรียง ไม่ควรใช้ภาพมากเกินไป เพราะจะทำให้ไฟล์ภาพ มีขนาดใหญ่<br />
2. การพิจารณาในการสร้างไฟล์งานภาพเคลื่อนไหว ต้องดูถึงความจำเป็น ความเหมาะสม ว่าภาพนิ่งไม่สามรถสื่อความหมายของการเรียนรู้ได้เพียงพอ<br />
3. แม้ว่าปัจจุบัน เทคโนโลยีเครือข่าย และการสื่อสารเอื้ออำนวยในการแสดงไฟลืภาพขนาดใหญ่ได้ แต่การสร้างไฟล์ภาพเคลื่อไหว ขนาดใหญ่ ก็ยังต้องใช้เวลาในการ load เพื่อแสดงผลอยู่ อันอาจเป็นสาเหตุให้ ผู้เรียนรู้ ขาดความสนใจในการรอ<br />
4. การใช้ค่า Frame rate สูงๆ แม้ว่าภาพเคลื่อนไหวจะดูเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ สบายตา แต่ค่าไฟล์ก็จะมีขนาด ที่ใหญ่มากยิ่งขึ้น ควรกำหนด frame rate ที่พอดี<br />
5. เลือกใช้เทคนิค วิธีการ หรือโปรแกรม ที่เหมาะสมกับการแสดงผล และความถนัดของผู้สร้าง<br />
6. แม้ว่า Browser และโปรแกรมสร้าางสื่ออื่นๆจะรองรับไฟล์ภาพเคลื่อนไหว และการแสดงผลได้ทุกประเภท แต่ก็ต้องคำนึงถึงเทคนิค สีฉากหลังในสภาพเดิมด้วย ควรสร้างสื่อให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งาน <br />
<br />
<div>
</div>
<strong>แนะนำโปรแกรมสร้างงานไฟลืภาพเคลื่อนไหว</strong><br />
<br />
<table border="1" cellpadding="3" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td rowspan="2" valign="top" width="55"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgK3cL7XBR-zhJt4z9maOqf0QjSNCbJVORvM5AZktf4ZE5_2oV8CErbyPMb61wExcP7VWz5qofxCPq_cymP_vsLNEcO7Vdo7aH1NUPZsMArIFar9ZcrBU4dA1u4gfhBcoVgGioH4HfwLvQ/s1600/software_download.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgK3cL7XBR-zhJt4z9maOqf0QjSNCbJVORvM5AZktf4ZE5_2oV8CErbyPMb61wExcP7VWz5qofxCPq_cymP_vsLNEcO7Vdo7aH1NUPZsMArIFar9ZcrBU4dA1u4gfhBcoVgGioH4HfwLvQ/s1600/software_download.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
</td>
<td height="25"><strong>แนะนำโปรแกรมสร้างไฟล์งาน GIF Animation</strong></td></tr>
<tr>
<td valign="top">1. <a href="http://www.blumentals.net/egifan/" target="_blank">Easy GIF
Animator </a><br />
ของ Blumentals software เป็นโปรแกรมสร้างไฟล์ GIF ที่ง่าย
ไฟลืภาพมีขนาดเล็ก<br />
2. <a href="http://download.cnet.com/Ulead-GIF-Animator/3000-2186_4-10002057.html" target="_blank">Ulead GIF Animator</a> <br />
เป็นโปรแกรมของค่าย <a href="http://www.ulead.com/" target="_blank">Ulead</a>
ที่มีประสิทธิภาพมาก ซึ่งปัจจุบันไม่ได้พัฒนาต่อแล้ว และนำออกจากบัญชี software<br />
3. <a href="http://www.coffeecup.com/gif-animator/" target="_blank">CoffeeCup GIF
Animator</a> <br />
ของค่าย CoffeeCup ซึ่งสามารถ export ไฟล์ได้ทัง .GIF และ
.SWF<br />
4. <a href="http://download.cnet.com/Microsoft-GIF-Animator/3000-18512_4-12053.html" target="_blank">Microsoft Gif Animator</a> <br />
ของค่ายไมโครซอฟท์ ที่ใช้งานได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันก็หยุดการพัฒนาไปแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังมีผู้นำมาใช้งาน</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<div>
</div>
<table border="1" cellpadding="3" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td rowspan="2" valign="top" width="55"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgK3cL7XBR-zhJt4z9maOqf0QjSNCbJVORvM5AZktf4ZE5_2oV8CErbyPMb61wExcP7VWz5qofxCPq_cymP_vsLNEcO7Vdo7aH1NUPZsMArIFar9ZcrBU4dA1u4gfhBcoVgGioH4HfwLvQ/s1600/software_download.jpg" /></td>
<td height="25"><strong>แนะนำโปรแกรมสร้างไฟล์งาน Flash Animation</strong></td></tr>
<tr>
<td valign="top">1. <a href="http://www.adobe.com/products/flash.html" target="_blank">Adobe
Flash</a> <br />
ของค่าย Adobe ซึ่งโปรแกรมนี้ถือเป็นโปรแกรมสร้าง Flash
ที่สมบูรณ์ที่สุด<br />
2. <a href="http://www.swishzone.com/index.php" target="_blank">SWiSH Max</a> <br />
ของ SwiSHzone เป็นอีกโปรแกรมอีกค่ายที่สร้างไฟล์
flash ที่ดี และง่าย <br />
3. <a href="http://www.mix-fx.com/index.htm" target="_blank">Mix-FX </a><br />
ของ Triple W Communications
ก็เป้นโปรแกรมที่แยกประเภทในการสร้างงาน ที่ใช้งานง่ายๆ<br />
4. <a href="http://www.koolmoves.com/index.html" target="_blank">KoolMoves</a>
<br />
ของค่าย Lucky Monkey Designs เป็นอีกโปรแกรมที่น่าสนใจ รองรับการสร้างงานแบบ
3D</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<div>
</div>
<br />
<div>
</div>Unknownnoreply@blogger.com0